เซนต์เซย์ย่า
เซนต์เซย่า (ญี่ปุ่น: 聖闘士星矢; โรมาจิ: Seinto Seiya; ทับศัพท์: เซนโตะเซยะ) เป็นชื่อของหนังสือการ์ตูน ซึ่งแต่งขึ้นโดย มาซามิ คูรูมาดะ ซึ่งใช้กลุ่มดาวม้าบินมาเป็นตัวเอกของเรื่อง เนื่องจากม้าบินกำลังอยู่ในท่าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ตรงกับภาพลักษณ์ของตัวเอกที่เขาได้คิดไว้นั่นเอง โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่ม 5 คนที่เรียกว่า เซนต์ (saint) ต่อสู้โดยใช้ร่างกายของตนเองเป็นอาวุธเพื่อปกป้องคิโดะ ซาโอริ ผู้เป็นอวตารของเทพีอาเทน่า และต่อสู้กับทัพศัตรูแห่งความชั่วร้าย ในโลกร่วมสมัยที่มีบรรยากาศของเทพปกรณัมกรีก ในประเทศญี่ปุ่น เซนต์เซย่าลงตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ ของสำนักพิมพ์ชูเอฉะ และออกเป็นหนังสือรวมเล่มจำนวน 28 เล่มจบ ส่วนในประเทศไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจได้รับสิทธิ์ในการตีพิมพ์ฉบับรวมเล่ม นอกจากภาคหลักแล้ว เซนต์เซย่ายังได้รับการแต่งภาคเสริมขึ้นอีกหลายภาคด้วยกัน ได้แก่ ภาค Episode G , Next Dimension และ The Lost Canvas เซนต์เซย่าถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของอนิเมะ และออกฉายครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2529 โดยบริษัท โตเอแอนิเมชัน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจนได้ออกอากาศติดต่อกันนานเกือบ 3 ปี นอกจากนี้ยังได้แพร่ภาพทางโทรทัศน์ในประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศ ทั้งในแถบเอเชียด้วยกัน เช่น ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมีการนำเซนต์เซย่ามาออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยใช้ชื่อว่า "เซย่า เทพบุตรหมัดดาวหาง" จากนั้นก็ได้ออกอากาศซ้ำอีกในปี พ.ศ. 2547 ทางสถานีโทรทัศน์ยูบีซี (ทรูวิชั่นส์ ในปัจจุบัน) และมีการนำออกวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีโดย บริษัท การ์ตูนอินเตอร์ จำกัด ด้วย นอกจากนี้เซนต์เซย์ย่ายังได้รับการดัดแปลงเป็นสื่อในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ภาพยนตร์ ละครเวที เกม และของเล่นต่าง ๆ ประวัติในขณะที่ มาซามิ คุรุมาดะ กำลังวางเค้าโครงเนื้อเรื่องของผลงานเรื่องใหม่อยู่ เขาก็ได้พบภาพของ "ฝนดาวตกสิงโต" เข้า ฝนดาวตกจำนวนมหาศาลที่ตกลงมาจากท้องฟ้านั้น ดูคล้ายกับลักษณะของเซนต์มาก คุรุมาดะจึงคิดจะออกแบบให้ตัวเอกของเรื่องเป็นราศีสิงห์ แต่หลังจากได้ค้นข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม เขาก็พบกลุ่มดาวม้าบิน ซึ่งม้าบินหรือเพกาซัสที่กำลังอยู่ในท่าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ตรงกับภาพลักษณ์ของตัวเอกที่คุรุมาดะกำหนดเอาไว้เป็นอย่างมาก เขาจึงตัดสินใจเลือกเพกาซัสให้เป็นกลุ่มดาวประจำตัวเอก และนำลักษณะของฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโต (Leonids) มาเป็นต้นแบบของท่าไม้ตายของตัวเอก แล้วคุรุมาดะก็ตั้งชื่อให้กับตัวเอกของเรื่องว่า "เซย่า"[1] เมื่อวางเค้าโครงเรื่องเสร็จ คุรุมาดะก็เลือกกลุ่มดาวขึ้นมา 10 กลุ่มดาว (จากทั้งหมด 88 กลุ่มดาว) และกำหนดให้เป็นบรอนซ์เซนต์ทั้ง 10 คน ส่วนกลุ่มดาวอื่นๆ ที่เหลืออีก 78 กลุ่มดาว ก็ได้รับการออกแบบให้เป็นเซนต์ในระดับต่างๆ ซึ่งมีความสามารถที่แตกต่างกันไป[1] ความนิยม![]() เซนต์เซย่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ตีพิมพ์ออกมาในช่วงยุคทองของนิตยสารจัมป์รายสัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการ์ตูนดังๆ ในยุค'80 ตีพิมพ์อยู่หลายเรื่อง เช่น ดราก้อนบอล ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ คินนิคุแมน โรงเรียนลูกผู้ชาย และซิตี้ฮันเตอร์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่มนักรบเด็กหนุ่มห้าคน (เซนต์) ซึ่งต่อสู้โดยใช้ร่างกายของตนเองเป็นอาวุธ ในโลกร่วมสมัยที่มีบรรยากาศของเทพปกรณัมกรีก เด็กหนุ่มทั้งห้าคนนี้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ปกป้อง คิโดะ ซาโอริ ผู้เป็นอวตารของเทพีอาเทน่า เทพีแห่งปัญญาและสงคราม และต่อสู้กับทัพศัตรูแห่งความชั่วร้าย ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากทั้งผู้ชมที่เป็นผู้ชายและผู้หญิง ต่อมาเมื่อถูกสร้างเป็นอนิเมะออกอากาศทางโทรทัศน์ ก็มีกระแสตอบรับที่ดีจนได้ออกอากาศติดต่อกันนานเกือบ 3 ปี ส่งผลให้สินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับเซนต์เซย่า เช่น วิดีโอภาพยนตร์การ์ตูน ซอฟต์แวร์เกม หุ่นฟิกเกอร์และหุ่นเหล็กในรูปแบบต่างๆ ที่ผลิตโดยบริษัทบันไดในช่วงนั้น ได้รับความนิยมและขายดีเป็นอย่างมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ[2][3][4] ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันยังได้มีการผลิตของเล่นที่เรียกว่า เซนต์คลอธมิธ ซึ่งเป็นเหมือนกับหุ่นแอคชันฟิกเกอร์รุ่นปรับปรุงใหม่ออกมาวางจำหน่ายอีกด้วย นอกจากนี้ เซนต์เซย่า ยังได้สร้างอิทธิพลให้แก่การ์ตูนญี่ปุ่นในยุคต่อมาอย่าง ซามูไรทรูปเปอร์ ที่สร้างโดยซันไรส์ ในปี พ.ศ. 2531 และศึกเทพสวรรค์ ชูราโตะ ที่สร้างโดยทัตสึโนโกะ ในปี พ.ศ. 2532 ซึ่งแนวเรื่องของผลงานทั้ง 2 ที่กล่าวมา ต่างก็เน้นในด้านการต่อสู้และมิตรภาพของเหล่าเด็กหนุ่มที่สวมชุดเกราะ โดยรูปแบบของเกราะจะแยกชิ้นส่วนมาประกอบเข้ากับร่างกายเช่นเดียวกับในเรื่องเซนต์เซย่า[4][5] ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากในประเทศไทยแล้ว เซนต์เซย่ายังได้ไปแพร่ภาพทางโทรทัศน์ในประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศ ทั้งในแถบเอเชียด้วยกัน เช่น ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และอีกฟากของทวีปอย่างแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา รวมไปถึงลาตินอเมริกา โดยถึงแม้ว่าในแถบยุโรปจะมีความเข้มงวดเกี่ยวกับฉากต่อสู้ที่มีความรุนแรงในเรื่อง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เซนต์เซย์ย่าเสื่อมความนิยมลงแต่อย่างใด เพราะหลังจากที่แพร่ภาพจบชุด ยังถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกหลายครั้ง ส่วนที่ประเทศเม็กซิโกในแถบละตินอเมริกา ก็ได้มีการแพร่ภาพเรื่องเซนต์เซย่าถึง 14 ครั้งด้วยกัน[4] และจากการถูกนำไปแพร่ภาพในหลายๆ ประเทศ ทำให้ชื่อเรื่อง เซนต์เซย่า ได้รับการตั้งขึ้นใหม่ตามภาษาและวัฒนธรรมของบางประเทศ เช่น ช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์กในสหรัฐอเมริกาใช้ชื่อว่า "Knights of the Zodiac" ภาษาฝรั่งเศสใช้ชื่อว่า "Les Chevaliers du Zodiaque" ภาษาอิตาลีใช้ชื่อว่า "I Cavalieri dello zodiaco" ภาษาโปรตุเกสใช้ชื่อว่า "Os Cavaleiros do Zodíaco" ภาษาโปแลนด์ใช้ชื่อว่า "Rycerze Zodiaku" เป็นต้น เนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของเซนต์เซย่านั้น ในฉบับมังกะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ภาค ด้วยกัน ได้แก่ ภาคศึก12 ราศีภาคโพไซดอน และภาคฮาเดส แต่ในอนิเมะนั้น ได้เพิ่มภาคแอสการ์ดเข้ามา ซึ่งเป็นภาครอยต่อระหว่าง ภาคศึก 12 ราศีและภาคโพไซดอน และภายหลังได้เพิ่มเนื้อเรื่องต่อออกไปอีกในภาควิญญาณแห่งโกลด์ นอกจากนี้ ยังได้มีการแต่งเนื้อเรื่องเพิ่มขึ้นมาในภายหลังอีกหลายภาคด้วยกัน สำหรับเนื้อเรื่องย่อของภาคต่าง ๆ มีดังนี้ ภาคศึก 12 ราศี (Sanctuary Chapter)![]() ณ แซงทัวรี่ อาเทน่ากลับมาเกิดใหม่ตามยุคสมัย เคียวโก(แอเรียส ชิออน)จึงจัดการเลือกให้ 1 ในโกลด์เซนต์มาเป็นเคียวโก ซึ่งตัวเต็งคือ ไอโอลอสกับซากะ แต่ซากะที่กลัวถึงอีกบุคลิกในตัวจึงหนีหายสาปสูญไป ทำให้ไอโอลอสเป็นผู้ถูกเลือก แต่ไอโอลอสก็ปฏิเสธ วันหนึ่ง ที่สตาร์ฮิล ซากะไปถามสาเหตุจากเคียวโก จนรู้ว่าเคียวโกเกรงกลัวถึงจิตใจชั่วร้ายในตัวซากะ ทำให้ซากะฆ่าเคียวโกกับสวมรอย หวังฆ่าอาเทน่า แต่ไอโอลอสช่วยไว้ทัน แต่ก็ถูกไล่ล่าจนเสียชีวิต ก่อนตายได้ฝากอาเทน่าและชุดคล็อธซาจิทาเรียสไว้กับคิโด มิสึมาสะเป็นผู้ดูแล เนื้อเรื่องหลังจากนั้นของภาคแซงค์ทัวรี่ อาจจะแบ่งย่อย ๆ ได้เป็น
ภาคศึกอัศวินแห่งแอสการ์ดภาคศึกอัศวินแห่งแอสการ์ด เป็นเนื้อเรื่องที่แต่งขึ้นมาสำหรับภาคอนิเมะ ไม่มีในมังงะ โดยเนื้อเรื่องเริ่มขึ้นหลังเสร็จสิ้นจากศึก 12 ปราสาทแห่งแซงค์ทัวรี่ โดยโพราลิส ฮิลด้า ผู้ปกครองแคว้นแอสการ์ด ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าโอดีน ถูกอำนาจของ "แหวนนีเบอลุง" เข้าครอบงำ ซึ่งทำให้ฮิลด้ามีความต้องการที่จะครอบครองแซงค์ทัวรี่และพื้นพิภพทั้งหมด โดยมีก็อดวอริเออร์ทั้ง 7 เป็นผู้คุ้มครอง โดยอาเทน่าได้เดินทางมายังแอสการ์ดเนื่องจากรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น และได้เสียสละตนทำหน้าที่ยับยั้งการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก เพื่อช่วยโลกและอาเทน่าพวกเซย่าจึงต้องรวบรวมโอดีนแซฟไฟร์ซึ่งจะได้มาโดยการกำจัดเหล่าก็อดวอริเออร์ทั้ง 7 คน เพื่อนำมาใช้ถอดแหวนนีเบอลุงออกจากนิ้วของฮิลด้าให้ได้ภายในเวลาครึ่งวัน หลังจากที่พวกเซย่าสามารถโค่นก็อดวอริเออร์ทั้ง 7 คนและรวบรวมโอดีนแซฟไฟร์ครบ 7 เม็ดแล้ว เซย่าก็ได้ใช้โอดีนแซฟไฟร์ปลุก "ชุดโอดีนโร้บ" ขึ้นและใช้ดาบของโอดีนโร้บทำลายแหวนนีเบอลุงที่นิ้วของฮิลด้าได้สำเร็จ โดยที่แท้จริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นแผนของเจ้าสมุทรโพไซดอนนั่นเอง[10] ภาคศึกเจ้าสมุทรโพไซดอนด้วยอำนาจของเทพสมุทรโพไซดอนได้ทำให้เกิดฝนตกอย่างหนักจนน้ำท่วมทั่วโลก เพื่อกำจัดมนุษย์ และสร้างยูโธเปียขึ้นปกครองมาใหม่อีกครั้ง เพื่อยุติภัยพิบัติครั้งนี้ อาเทน่าจึงได้เดินทางไปพบโพไซดอนที่วิหารใต้ท้องมหาสมุทร และได้เสียสละตัวเองเข้าไปในเสาเมนเบรดวินเนอร์เพื่อรองรับน้ำฝนจากบนโลกให้มาตกภายในเสานี้เท่านั้น พวกเซย่าที่ฟื้นตัวจากโคม่า ได้คลอธใหม่ที่อาบเลือดโกลด์เซนต์ จึงต้องช่วยอาเทน่าให้ออกมาจากเสาเมนเบรดวินเนอร์ให้ได้ก่อนที่อาเทน่าจะจมน้ำตาย โดยการกำจัดเหล่ามารีเนอร์ทั้ง 7 คน รวมทั้งโค่นเสาค้ำมหาสมุทรที่เหล่ามารีเนอร์คุ้มครองอยู่ด้วย โดยใช้อาวุธของชุดคล็อธไลบร้า พอโค่นมารีเนอร์กับทำลายเสาค้ำมหาสมุทรทั้ง 7 ต้นได้แล้ว จึงบุกเข้าไปยังวิหารโพไซดอนเพื่อทำลายเสาเมนเบรดวินเนอร์ แต่ถูกโพไซดอนขัดขวางไว้ ซึ่งเหล่าโกลด์เซนต์ได้ส่งชุดคล็อธซาจิททาเรียส ชุดคล็อธไลบร้า และชุดคล็อธอควอเรียสมาช่วยเหลือ พวกเซย่าได้รวมรวบพลังไปยังลูกธนูของซาจิททาเรียสแล้วยิงเข้าใส่จูเลี่ยน โซโลสำเร็จทำให้โพไซดอนในตัวตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้เข้าทำลายเสาเมนเบรดวินเนอร์และช่วยเหลืออาเทน่าได้สำเร็จ อาเทน่าจึงใช้คนโทกักวิญญาณของโพไซดอนไว้อีกครั้งหนึ่ง[11] ภาคศึกเทพเจ้าฮาเดสเนื้อเรื่องของภาคฮาเดสนั้นเริ่มต้นจากพลังของอาเทน่าที่ใช้ผนึกเหล่าสเป็คเตอร์ไว้หลังจากการต่อสู้ในสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อ 243 ปีก่อนนั้น ได้เสื่อมลง ซึ่งทำให้เหล่าสเป็คเตอร์ภายใต้การนำของฮาเดส เทพเจ้าแห่งยมโลก (โลกหลังความตาย) ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง เนื้อเรื่องหลังจากนั้นของภาคศึกเทพเจ้าฮาเดส อาจแบ่งย่อยได้ ดังนี้
ภาควิญญาณแห่งโกลด์ในภาคนี้จะดำเนินเรื่องต่อจากภาคฮาเดสบทอินเฟอร์โน่ และดำเนินพร้อมกับบทเอลิเชี่ยน โดยภาคนี้เหล่าโกลด์เซนต์จะรับบทเป็นตัวละครหลักโดยมีเลโอ ไอโอเลีย เป็นพระเอก โดยเรื่องเริ่มขึ้นหลังจากเหล่าโกลด์เซนต์ทั้ง 12 เสียชีวิตจากการยิงศรทองระเบิดหน้ากำแพงวิปโยคเพื่อเปิดทางให้พวกเซย่าผ่านไป พวกเขาก็ถูกคืนชีพโดยฝีมือใครบางคนที่มาโผล่แอสการ์ด โดยพวกเขาทุกคนต้องหาคำตอบว่าถูกคืนชีพมาเพื่ออะไร เกิดอะไรขึ้นกับที่แอสการ์ด โดยภาคนี้จะแสดงให้เห็นถึงการร่วมต่อสู้ร่วมกันของเหล่าโกลด์เซนต์ทั้ง 12 ภาคเสริมอื่น ๆนอกจากนี้ ยังมีการแต่งเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่ในช่วงหลัง โดยเนื้อเรื่องที่แต่งขึ้นมาใหม่นี้ จะเป็นการกล่าวถึงช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการดำเนินเรื่องในภาคหลัก ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตัวละครดูบทความหลักที่ ตัวละครในเซนต์เซย่า ตัวละครหลักของเซนย์เซย์ย่านั้น ได้แก่ อาเทน่าและเซนต์แห่งอาเทน่า โดยเซนต์แห่งอาเทน่าแต่ละคนนั้นจะมีกลุ่มดาวคุ้มครองประจำตัวและมีจำนวน 88 คนเท่ากับจำนวนกลุ่มดาวบนท้องฟ้า[15] สามารถแบ่งแยกออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ บรอนซ์เซนต์ ซิลเวอร์เซนต์ และโกลด์เซนต์ เซนต์แห่งอาเทน่ามีหน้าที่ปกป้องอาเทน่า ซึ่งทรงรังเกียจการใช้อาวุธ ดังนั้น เหล่าเซนต์จึงต้องพยายามฝึกฝนร่างกายของตนเพื่อใช้เป็นอาวุธแทน โดยหมัดของเซนต์นั้นสามารถแหวกฟ้าและการเตะของเซนต์นั้นก็สามารถทลายพื้นดินได้เช่นกัน[15] เกราะเกราะของนักรบในเนื้อเรื่อง ที่นักรบประจำเทพฝ่ายไหนใส่กัน แต่ในกรณีเทพไม่จำเป็นต้องใส่เกราะก็มีพลังมากอยู่แล้ว ถึงกับมีเกราะเป็นเหมือนเสื้อผ้า แต่เทพบางองค์ใส่เกราะออกรบจะมีพลังมากก็มี โดยทุกชุดเกราะส่วนหัวคือหน้ากากหรือมงกุฎคือประดับเท่านั้น มีหรือไม่ก็ได้ ![]()
เครื่องป้องกันร่างกายของเหล่าเซนต์แห่งอาเทน่า ปกติจะมีรูปร่างต้นแบบแตกต่างกันไปตามลักษณะของกลุ่มดาว แต่พอถึงเวลาทำการต่อสู้ คลอธจะทำปฏิกริริยาเมื่อเจ้าของเร่งคอสโมใส่ตัวคลอธแยกชิ้นส่วนออกมาประกอบเป็นเกาะเข้ากับร่างของเจ้าของ ประสิทธิผลของคลอธจะขึ้นอยู่กับพลังคอสโมของเซนต์ผู้ใช้แต่ละคนด้วย อ้างอิงได้จากตอนที่เซย่าสวมคลอธครั้งแรกแล้วบ่นว่า เป็นเกราะที่ไม่มีประโยชน์ใช้ป้องกันอะไรไม่ได้เลย จนมารีนให้เร่งพลังคอสโม จึงสามารถสะบัดหลุดจากการจับกุมของเหล่าทหารแห่งแซงค์ทัวรี่ได้ เมื่อถอดคลอธออกจากตัว คลอธจะกลับมารวมตัวกันกับมีกล่องคลอธปิดเอาไว้ โดยปกติแล้ว ถ้าหากคลอธได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากการต่อสู้ ก็จะซ่อมแซมตัวเองได้ ทว่าหากได้รับความเสียหายอย่างหนักก็แตกหักจนซ่อมตัวเองไม่ได้ = พลังในการฟื้นฟูตัวเองของคลอธนั้นหายไปแล้ว แต่ก็เป็นสื่อเร่งคอสโมโจมตีได้เหมือนเดิม แต่ด้วยว่าตอนคลอธปกตินิดนึง แค่ต้องเร่งคอสโมให้แรงกว่าเดิมเท่านั้น ซึ่งการจะให้คลอธมีพลังฟื้นตัวอีกที กับคลอธที่พังถูกซ่อมแซมอีกครั้ง คือ จำต้องใช้เลือดจำนวนมากของเซนต์(อ้างอิงจากตอนที่ชิริวเอาคลอธไปให้มูซ่อม)แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว แค่บริจาคเลือดเซนต์(เฉพาะเซนต์เต็มตัวหรือผู้สืบทอดเท่านั้น แต่เซนต์ฝึกหัดไม่ได้)ออกมา 1 ถุง ราดใส่คลอธพัง กับให้พวกช่างซ่อมคลอธทำการซ่อมตีรูปขึ้นมาใหม่ คลอธถูกซ่อมจนมีรูปลักษณ์ใหม่นิดหน่อย กับมีพลังคอสโมเพิ่มขึ้น แต่การซ่อมคลอธที่สูญเสียพลังการฟื้นตัว จะใช้เวลาเกือบชม. แต่ถ้าสาหัสจนพังไปแล้วเป็นแค่คลอธพังสื่อของคอสโม ต้องใช้เวลานาน แต่สำหรับคลอธฟีนิกซ์คือข้อยกเว้น แค่ 1 ในบรรดาคลอธทั้งหมด ซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพได้เอง แม้จะถูกทำลายจนแหลกเป็นผุยผง(แต่คนสวมมีขีดจำกัดเหมือนเดิม) ถ้าคลอธที่พังได้รับเลือดจากเซนต์ที่ยศสูงกว่า เช่น บรอนซ์คลอธได้รับเลือดจาก ซิลเวอร์หรือโกลด์เซนต์ คลอธจะเปลี่ยนสีไปตามเลือดของเซนต์ยศนั้นคือ ซิลเวอร์คือสีเงิน โกลด์คือสีทอง เเซนต์สวมคลอธนั้นอยู่ตอนนั้นเร่งคลอสโมถึงขีดสุด สีคลอธจะเปลี่ยนสี อย่างบรอนต์คลอธอาบเลือดซิลเวอร์หรือโกลด์ เร่งคอสโมระดับเซเวนเซนต์ สีจะเปลี่ยนเป็นเงินหรือทอง กับมีคุณสมบัติเกือบเท่าคลอธยศสูงของจริง(มีฤทธิ์แค่ชั่วคราวเฉพาะตอนสวมเท่านั้น) แต่พอคลอธนั้นได้รับเลือดของอาเทน่า แม้แค่นิดนึง(ที่จริงไม่ต้องให้อาทีน่ากรีดเลือดก็ได้ แค่อาทีน่าบริจาคเลือดสัก 1 ถุงนำเศษเลือดไปสาดใส่คลอธแค่นิดเดียว หรือแค่เศษเลือด คลอธจะฟื้นตัวแม้ว่าจะพังเสียหายเกินไปก็จะฟื้นฟูทันที คลอธนั้นประสานกับเซนต์ที่เร่งคอสโมระดับเอ้กเซน จะทำให้เปลี่ยนเป็นก๊อดคลอธได้ แต่พอถอดคลอธออกเมื่อไหร่จะคลายตัวทันที เป็นคลอธที่แตกร้าวดังเดิม(ก่อนซ่อมด้วยเลือดอาเทน่า)แต่ก็เร่งคอสโมถึงระดับเอ้กกเซนต์ให้เป็นก็อดคลอธได้ตลอดตอนใช้เท่านั้น แต่ถ้าผ่านไป 200 กว่าปี(พลังจากเลือดอาเทน่ายุคนั้นจะหมดอายุ)จนอาเทน่ากลับมาเกิดใหม่ ต้องได้รับเลือดของอาเทน่าใหม่อีกทีกับเร่งคอสโมระดับเอ้กเซนส์ถึงจะเป็นก๊อดคลอธได้
นอกจากนี้ คลอธยังสามารถพัฒนาได้ด้วยการรับเอาเลือดที่ประกอบด้วยพลังคอสโมของเหล่าเซนต์ในระดับต่างๆ เช่น คลอธที่ใช้ในศึกอัสการ์ด ที่มีความสามารถเทียบเท่าเกราะทอง เนื่องจากได้รับเลือดของเหล่าโกลด์เซนต์ รวมถึงเกราะแห่งเทพ(ก็อดคลอธ)ในศึกเจ้านรกที่เอลิเชี่ยน ที่พัฒนาขึ้นจากเลือดของอาเทน่า รวมทั้งยังมีคลอธของเทพีอาเทน่าเอง
เซนต์เซย่าในรูปแบบต่าง ๆฉบับหนังสือการ์ตูนดูเพิ่ม เซนต์เซย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดส เซนต์เซย่าฉบับหนังสือการ์ตูนชุดแรกนั้น มาซามิ คุรุมาดะ เป็นผู้แต่งเซนต์เซย่าและวาดลายเส้นด้วยตัวเอง เขาตั้งใจที่จะให้เซนต์เซย่าเป็นผลงานชิ้นเอกของตัวเอง[15] โดยเซนต์เซย่าเริ่มลงตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ สำนักพิมพ์ชูเอฉะ[17] และออกจำหน่ายเป็นหนังสือฉบับรวมเล่ม รวมทั้งสิ้น 28 เล่มจบ ซึ่งสามารถแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาคแซงค์ทัวรี่ ภาคโปเซดอน และภาคฮาเดส ในประเทศไทย เซนต์เซย่าได้ตีพิมพ์เล่มแรก เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2543 และเล่มสุดท้ายสำหรับการตีพิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549[18] โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์ชูเอฉะเพื่อจัดทำเซนต์เซย่าในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย[15] หลังจากประสบความสำเร็จจากเซนต์เซย์ย่าชุดแรกแล้ว มาซามิ คุรุมาดะ ได้แต่ง "เซนต์เซย่า Episode G" ขึ้นมา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้ของเหล่าโกลด์เซนต์กับพวกไททัน โดยระยะเวลาของภาคนี้จะย้อนกลับไป 7 ปี นับจากยุคของเซย่า โดยมี เลโอ ไอโอเลีย โกลด์เซนต์ราศีสิงห์ เป็นพระเอกของเรื่อง ความหมายของ G ในตอนนี้นั้น คือ Gold saint นั่นเอง[19] ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องของเซนต์เซย่าในตอนนี้จะแต่งขึ้นโดยมาซามิ คุรุมาดะ แต่ผู้ที่วาดลายเส้นนั้น คือ เมกุมุ โอคาดะ จึงทำให้ลายเส้นของภาคนี้ต่างออกไปจากภาคที่แล้ว ส่วนสาเหตุในการเปลี่ยนผู้วาดนั้นไม่ทราบอย่างแน่ชัด ซึ่งเมกุมุ โอคาดะได้กล่าวถึงการที่เขารับหน้าที่ในการวาดลายเส้นสำหรับเซนต์เซย่า Episode G ว่า เขารู้สึกดีใจมาก เพราะนึกไม่ถึงว่านักเขียนคนอื่นจะได้เขียน และนับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เขียนการ์ตูนโดยไม่ต้องคิดพลอตเรื่อง[20] อย่างไรก็ตาม ลายเส้นของเมกุมุ โอคาดะก็ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นลายเส้นที่ออกแนวผู้หญิงมาก แต่ด้วยเนื้อหาและลายเส้นที่วาดได้ละเอียดก็ทำให้ภาคนี้ได้รับความนิยมที่ดีขึ้น[19] เซนต์เซย่า Episode G ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2546 สำหรับในประเทศไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์อาคิตะ เพื่อจัดทำเซนต์เซย์ย่าในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย[20] ปัจจุบัน (เม.ย. 2551) ตีพิมพ์ออกมาแล้วเป็นจำนวน 4 เล่ม นอกจาก เซนต์เซย่า Episode G แล้ว มาซามิ คุรุมาดะ ยังได้แต่งเซนต์เซย่าตอนใหม่อีก ได้แก่ เซนต์เซย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดส โดยมีชิโอริ เทชิโรงิ เป็นผู้วาดลายเส้น ซึ่งเทชิโรงิได้กล่าวความรู้สึกเมื่อได้รับทราบว่าตนเองจะได้เป็นผู้วาดเซนต์เซย่าภาคนี้ว่า "ในตอนที่มีการพูดถึงงานนี้ ฉันถึงกับร้องไห้ออกมาและก็โทรศัพท์ไปหาเพื่อน เนื่องจากรู้ว่าตนเองจะได้เขียนเรื่องเซนต์เซย่า แถมคุณคุรุมาดะยังมาหาด้วยตัวเองเลยด้วย ในชีวิตฉันคงจะไม่มีงานใดพิเศษสุดเท่ากับงานชิ้นนี้อีกแล้ว"[21] สำหรับเนื้อหาของตอนนี้จะกล่าวถึงเหตุการณ์สงครามศักดิ์สิทธิ์ระหว่างอาเทน่ากับฮาเดสเมื่อ 243 ปีก่อน โดยได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2550 สำหรับในประเทศไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์อาคิตะเพื่อจัดทำเซนต์เซย่าในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย[21] นอกจากฉบับหนังสือการ์ตูนที่มีการรวมเล่มออกมาแล้วดังที่กล่าวมา มาซามิ คุรุมาดะ ยังได้แต่ง "เซนต์เซย่า Next Dimension" ขึ้นมาอีกภาค และเป็นผู้วาดลายเส้นเอง โดยเซนต์เซย่าในภาคนี้ได้กล่าวถึงเหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างพวกเซย่าและฮาเดส ซึ่งทำให้ฮาเดสนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 243 ปีก่อน ว่าเขาได้เคยพบกับเซนต์เพกาซัสมาก่อนแล้วนั่นเอง ในประเทศญี่ปุ่น เซนต์เซย่า Next dimension ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกลงในลงนิตยสารการ์ตูน โชเน็นแชมเปี้ยน ฉบับที่ 22-23 และตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารฉบับเดียวกันเป็นระยะ ๆ[22] สำหรับในประเทศไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในรูปแบบภาษาไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันพิมพ์ออกมาทั้งหมดในไทยถึงเล่มที่ 5 เล่ม (เป็น 4 สีทั้งเล่ม ราคาเล่มละ 150 บาท) ปัจจุบันที่ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นๆออกถึงเล่ม 10 (ส่วนในไทยคาดว่าจะ..ไม่ได้พิมพ์ต่อแล้ว...) ฉบับโทรทัศน์เซนต์เซย่าได้รับการสร้างเป็นอนิเมะ โดยบริษัทโตเอแอนิเมชัน และออกอากาศทางสถานีทีวีอาซาฮี ทุกวันเสาร์ เวลา 19.00 - 19.30 น. ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2529 ถึง 1 เมษายน พ.ศ. 2532[23] มีความยาวตอนละ 20 นาทีโดยประมาณ[24] เซนต์เซย่าฉบับโทรทัศน์นั้น แบ่งเป็น 5 ภาคด้วยกัน ได้แก่ ภาค 1 เซนต์แห่งอาเทน่า (ตอนที่ 1-22) ภาค 2 นักรบเกราะเงิน (ตอนที่ 23-40) ภาค 3 ปราสาท 12 ราศี (ตอนที่ 41-74) ภาค 4 อัศวินแห่งแอสการ์ด (ตอนที่ 75-99) และภาค 5 เจ้าสมุทรโพไซดอน (ตอนที่ 100-114) รวม 114 ตอนจบ โดยเนื้อเรื่องหลักนั้นนำมาจากฉบับหนังสือการ์ตูน แต่ได้เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนเข้าไป โดยเฉพาะภาค "อัศวินแห่งแอสการ์ด" นั้นเป็นภาคที่แต่งขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในเซนต์เซย่าฉบับหนังสือการ์ตูน นอกจากนี้ชุดคล็อธของเซนต์บางคน เช่น เหล่าบรอนซ์เซนต์ ยังมีความแตกต่างจากฉบับหนังสือการ์ตูน สำหรับประเทศไทย เซนต์เซย่าเคยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยใช้ชื่อว่า "เซย่า เทพบุตรหมัดดาวหาง" ซึ่งได้ออกอากาศซ้ำหลายครั้งทางช่อง 3 ต่อมาในปี พ.ศ. 2547 ก็ได้มีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกครั้งทางสถานีโทรทัศน์ยูบีซี หรือ ทรูวิชั่นส์ ในปัจจุบัน และออกวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีโดยบริษัท การ์ตูนอินเตอร์ จำกัด จำนวน 57 แผ่นจบ[25] ต่อมาได้มีการผลิตและออกวางจำหน่ายอีกครั้งในรูปแบบ DVD โดย DEX คาดว่าจะมีจำนวน 23 แผ่นจบ[26] รายชื่อตอนฉบับโทรทัศน์เซนต์เซย่าฉบับโทรทัศน์ แบ่งออกเป็นภาคต่าง ๆ รวม 114 ตอน ซึ่งมีรายชื่อดังต่อไปนี้[27]
ฉบับภาพยนตร์นอกจากฉบับที่ออกฉายทางโทรทัศน์แล้ว เซนต์เซย่า ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนสำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย จนถึงปัจจุบัน เซนต์เซย่าฉบับภาพยนตร์ออกฉายแล้วจำนวน 5 ภาค โดยภาคสงครามเทพีอีริส ปริศนาแอปเปิ้ลทองคำ เป็นฉบับภาพยนตร์ที่มีการออกฉายเป็นภาคแรกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 และฉบับภาพยนตร์ล่าสุด คือ ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์ ซึ่งออกฉายเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547[24] อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องของฉบับภาพยนตร์ใน 4 ภาคแรก ได้แก่ ภาคสงครามเทพีเอริส ปริศนาแอปเปิ้ลทองคำ ภาคสงครามเทพเจ้าโอดีนแห่งแอสการ์ด ภาคสงครามสุริยเทพอาเบล และภาคสงครามครั้งสุดท้าย ความทะเยอทะยานของลูซิเฟอร์นั้นไม่ได้แต่งขึ้นโดยมะซะมิ คุรุมะดะ เรื่องราวและตัวละครต่าง ๆ จึงอาจจะมีความขัดแย้ง และไม่ต่อเนื่องกับรายละเอียดของเซนต์เซย่าฉบับหนังสือการ์ตูน แต่ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์นั้น เป็นฉบับภาพยนตร์ภาคเดียวที่แต่งขึ้นโดยมะซะมิ คุรุมะดะ เป็นการเกริ่นถึงเรื่องราวภายหลังจากสงครามศักดิ์สิทธิ์กับฮาเดสเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีการคาดหมายว่า การที่มะซะมิ คุรุมะดะ แต่งภาพยนตร์ฉบับนี้ขึ้นมานั้น เขาอาจจะแต่งเซนต์เซย่าในภาคต่อไป คือ ภาคสวรรค์ หรือ Tenkai hen ขึ้นมาในภายหน้านั่นเอง[24] เซนต์เซย่าฉบับภาพยนตร์นั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ภาคสงครามเทพีเอริส ปริศนาแอปเปิ้ลทองคำเซนต์เซย่าฉบับภาพยนตร์ ภาคสงครามเทพีอีริส ปริศนาแอปเปิ้ลทองคำ (ญี่ปุ่น: 聖闘士星矢 劇場版; โรมาจิ: Seinto Seiya Gekijōban) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Legend of the Golden Apple ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2530[24] มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "เอริส เทพีแห่งความชั่วร้าย" ซึ่งต้องการกำจัดอาเทน่า และทำลายโลก ได้เข้าสิงร่างของ "เอรี่" ผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และได้ปลุกเหล่าเซนต์ขึ้นมา 5 คน ได้แก่ ออร์เฟอุสแห่งกลุ่มดาวพิณ หยางแห่งกลุ่มดาวโล่ มายาแห่งกลุ่มดาวลูกธนู จากัวร์แห่งกลุ่มดาวนายพราน และไครส์แห่งกลุ่มดาวกางเขนใต้ เพื่อการคืนชีพอย่างสมบูรณ์ของเอริส เอริสได้ลักพาตัวของอาเทน่ามาเพื่อดูดเอาพลังชีวิตของอาเทน่าโดยใช้แอบเปิ้ลทองคำ หลังจากนั้น พวกเซย่าจึงเดินทางมาช่วยเหลืออาเทน่า โดยได้ทำลายแอปเปิ้ลทองคำ ทำให้เอริสสลายไปในที่สุด[28] ภาคสงครามเทพเจ้าโอดีนแห่งแอสการ์ดเซนต์เซย่าฉบับภาพยนตร์ ภาคสงครามเทพเจ้าโอดีนแห่งแอสการ์ด (ญี่ปุ่น: 神々の熱き戦い; โรมาจิ: Kamigami no Atsuki Tatakai) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Heated Battle of the Gods ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2531[24] มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การหายตัวไปของเฮียวกะ หลังจากเดินทางไปยังแอสการ์ด ดินแดงแห่งขั้วโลกเหนือ อาเทน่าและพวกเซย่าจึงเดินทางไปยังแอสการ์ด โดยได้เข้าพบกับ “โดลบาล ผู้ปกครองแห่งแอสการ์ด” เพื่อถามหาข่าวของเฮียวกะ ระหว่างนั้น อาเทน่าได้รู้ถึงเจตนาของโดลบาลว่าต้องการจะครอบครองแซงชัวรี่และโลก ดังนั้น โดลบาลจึงจับอาเทน่าไปตรึงไว้ที่รูปปั้นของเทพโอดีน เพื่อช่วยอาเทน่าพวกเซย่าจึงได้ต่อสู้กับเหล่าก็อดวอริเออร์ หรือเหล่านักรบแห่งแอสการ์ด แต่สุดท้ายโดลบาลก็ถูกกำจัดลง และดินแดนแอสการ์ดก็กลายเป็นดินแดนที่มีความอบอุ่นอีกครั้ง[29] ภาคสงครามสุริยเทพอาเบลเซนต์เซย่าฉบับภาพยนตร์ ภาคสงครามสุริยเทพอาเบล (ญี่ปุ่น: 真紅の少年伝説; โรมาจิ: Shinku No Shōnen Densetsu) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Legend of Crimson Youth ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2531[24] มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "อาเบล เทพแห่งสุริยะ" ผู้เป็นเสมือนพี่ชายของอาเทน่า ซึ่งต้องการให้โลกกลับมาสู่ยุคของเทพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออาเทน่ารู้ถึงจุดประสงค์ของอาเบลก็พยายามขัดขวางเจตนาของอาเบลเพียงลำพังโดยการขับไล่พวกเซย่าไม่ให้มาเกี่ยวข้องกับตน แต่อาเทน่าก็ถูกอาเบลสังหารเสียก่อน พวกเซย่ารู้สึกว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่จึงได้เดินทางมายังวิหารแห่งสุริยเทพ และต้องช่วยอาเทน่าให้ได้ก่อนที่วิญญาณของอาเทน่าจะเดินทางไปสู่หลุมดำนิรกาล เซย่า ชิริว เฮียวกะ ชุน และอิคคิ ได้ต่อสู้กับเหล่าโคโรน่าเซนต์ และเหล่าโกลด์เซนต์ที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งโดยอำนาจของอาเบล ในที่สุด ด้วยพลังคอสโม่ของพวกเซย่าจึงสามารถปลุกอาเทน่าขึ้นมาอีกครั้ง และสังหารอาเบลลงได้โดยใช้ลูกศรทองคำแห่งชุดคลอธซาจิททาเรียส [30] ภาคสงครามครั้งสุดท้าย ความทะเยอทะยานของลูซิเฟอร์เซนต์เซย่าฉบับภาพยนตร์ ภาคสงครามครั้งสุดท้าย ความทะเยอทะยานของลูซิเฟอร์ (ญี่ปุ่น: 最終聖戦の戦士たち; โรมาจิ: Saishū Seisen No Senshi Tachi) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Warriors of the Final Holy Battle ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2532[24] มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "ลูซิเฟอร์ บุตรแห่งเทพเจ้า" ที่มีความชั่วร้ายจนถูกลงโทษให้ไปอยู่ในนรก แต่ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้งโดยพลังของเอริส อาเบล และโพไซดอน เพื่อต้องการครอบครองโลกและสังหารอาเทน่า ลูซิเฟอร์และ 4 เทพอสูร เดินทางมายังแซงทัวรี่ พร้อมทั้งได้โจมตีเหล่าโกลด์เซนต์และพวกเซย่าจนได้รับบาดเจ็บ อาเทน่าจึงตัดสินใจเดินทางไปยังวิหารของลูซิเฟอร์เพียงลำพังเพื่อใช้ชีวิตของตนปกป้องโลกเอาไว้ พวกเซย่าจึงเดินทางไปช่วยโดยต่อสู้กับเหล่า 4 เทพอสูร และสามารถกำจัดลูซิเฟอร์ลงได้ [31] ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์เซนต์เซย่าฉบับภาพยนตร์ ภาคโหมโรงสู่ภาคสวรรค์ (ญี่ปุ่น: 天界編 序奏~overture~; โรมาจิ: Tenkai-hen Josō~overture~) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Heaven Chapter ~ Overture ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547[24] มีเนื้อหาเกี่ยวกับ เหล่าเทพเจ้าแห่งสวรรค์ซึ่งไม่พอใจที่เหล่าเซนต์แห่งอาเทน่าบังอาจโค่นล้มบรรดาเทพต่าง ๆ ลง ดังนั้นจึงส่ง "อาร์เทมิส เทพแห่งดวงจันทร์" พร้อมนักรบแห่งแองเจิ้ล ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อกำจัดเซนต์แห่งอาเทน่า อาเทน่าซึ่งไม่ต้องการให้พวกเซย่าต้องต่อสู้อีกครั้งจึงได้ยกการปกครองพื้นปฐพีให้อาร์เทมิส พร้อมทั้งยอมรับการลงทัณฑ์จากสวรรค์แทนเหล่าเซนต์แห่งอาเทน่า หลังจากนั้น เหล่าเซนต์แห่งอาเทน่าก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของแซงชัวรี่ที่เกิดขึ้น และได้เข้าต่อสู้กับเหล่าแองเจิ้ลเพื่อช่วยเหลืออาเทน่า อาร์เทมิสซึ่งพบว่าอาเทน่าต้องการขัดขืนคำสั่งสวรรค์โดยการแอบช่วยเหลือพวกเซย่า จึงต้องการสังหารอาเทน่าเสีย แต่เซย่าได้เข้ามาขัดขวาง และทันใดนั้น "อะพอลโล เทพแห่งดวงอาทิตย์" ก็ปรากฏตัวขึ้นมา[32] ฉบับโอวีเอปี พ.ศ. 2545 เซนต์เซย่า ถูกนำมาสร้างเป็นอนิเมะอีกครั้งในรูปแบบโอวีเอ โดยนำเอาเนื้อเรื่องฉบับการ์ตูนตั้งแต่เล่มที่ 19 -28 มาสร้างและออกฉายทางสถานีโทรทัศน์เคเบิล สกายเพอร์เฟกต์ทีวี โดยใช้ชื่อว่า "เซนต์เซย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ แซงก์ทัวรี่" ซึ่งเป็นเรื่องราวในช่วงแรกของภาคเจ้านรกฮาเดส มีความยาว 13 ตอน ต่อมา ในปี พ.ศ. 2548 ทางโตเอแอนิเมชันก็สร้างภาคต่อตามมาในชื่อว่า "เซนต์เซย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ อินเฟอร์โน่" ครึ่งแรกมีความยาว 6 ตอน ส่วนครึ่งหลัง สร้างขึ้นและออกอากาศในช่วงปลายปี พ.ศ. 2549 โดยมีความยาว 6 ตอนเช่นเดียวกัน สำหรับภาคสุดท้าย "เซนต์เซย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ เอลิเชียน" ก็มีความยาว 6 ตอน และออกอากาศในเดือนมีนาคม - สิงหาคม พ.ศ. 2551[33] ซึ่งถือเป็นการปิดฉากภาคฮาเดสอย่างสมบูรณ์ ในประเทศไทย "เซนต์เซย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ แซงก์ทัวรี่" ได้รับลิขสิทธิ์และวางจำหน่ายโดย บริษัท การ์ตูนอินเตอร์ จำกัด ส่วน "เซนต์เซย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ อินเฟอร์โน" และ "เซนต์เซย่า เดอะฮาเดสแชปเตอร์ เอลิเชียน" ได้รับลิขสิทธิ์และวางจำหน่ายโดย DEX รายชื่อตอนฉบับโอวีเอ
เพลงประกอบ
ผู้ให้เสียงตัวละครผู้ให้เสียงตัวละครหลัก
การเปลี่ยนตัวผู้ให้เสียงตัวละครในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 ได้มีข่าวออกมาว่า เซนต์เซย่า ภาคศึกเจ้านรกฮาเดส เดอะแชปเตอร์อินเฟอร์โน ที่กำลังจะออกอากาศทางช่องเคเบิล สกายเพอร์เฟกต์ทีวี ในเดือนธันวาคม จะมีการเปลี่ยนตัวผู้ให้เสียงตัวละครหลักทั้ง 6 ได้แก่ เซย่า ชิริว เฮียวกะ ชุน อิคคิ และซาโอริ เป็นนักพากย์ชุดใหม่ทั้งหมด[35] ซึ่งแม้ว่าในขณะนั้น ข่าวจะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้แก่แฟน ๆ ของเซนต์เซย์ย่าเป็นอย่างมาก จนเกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก โดยมีแฟนๆ จากทั้งในและต่างประเทศเข้าไปโพสต์ข้อความลง BBS ในโฮมเพจของ โทรุ ฟุรุยะ ผู้พากย์เสียงเซย่าคนเดิม เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการเรียกร้องให้ทางผู้สร้างพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนตัวนักพากย์อีกครั้ง โดยให้ความเห็นว่า อย่างน้อยถ้าจะเปลี่ยน ก็จะน่าจะเปลี่ยนหลังจากที่ภาคฮาเดสจบชุดไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการเปิดเว็บไซต์รวบรวมรายชื่อผู้ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนนักพากย์ในครั้งนี้อีกด้วย[36] แต่ในที่สุดทางเว็บไซต์ของโตเอแอนิเมชัน ก็ได้มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าจะเปลี่ยนตัวนักพากย์ตัวละครหลักทั้ง 6 คนจริง ๆ และจากกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงของแฟน ๆ ทำให้ มาซามิ คุรุมาดะ ผู้แต่งเรื่อง ต้องออกมาชี้แจงเหตุผลว่า ใจจริงแล้วเขาเองก็อยากให้นักพากย์ชุดเดิมพากย์ต่อไปเหมือนกัน แต่นอกจาก โทรุ ฟุรุยะ ผู้พากย์เสียงเซย่าแล้ว คุณภาพเสียงของนักพากย์ตัวละครหลักอีก 5 คนได้ตกลงไปมาก ฟังดูไม่สดใสเหมือนเก่า ประกอบกับการที่ได้เห็นนักพากย์รุ่นใหม่เข้ามาพากย์เสียงของโกลด์เซนต์บางคนแทนนักพากย์รุ่นเก่า เขาจึงต้องการให้เปลี่ยนนักพากย์ทั้ง 5 คนบ้าง โดยเหลือไว้เพียงแค่ฟุรุยะคนเดียว ซึ่งคุรุมาดะได้พูดคุยกับฟุรุยะเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเชิงเกลี้ยกล่อมหลายครั้งแล้ว แต่ฟุรุยะก็ยังคงยืนยันว่าจะพากย์กับทีมพากย์ชุดเดิมเท่านั้น หากมีการเปลี่ยนตัวนักพากย์ชุดเดิมแม้แต่คนเดียว เขาก็จะไม่ขอพากย์เสียงเซย์ย่าอีกต่อไปเช่นกัน เรื่องนี้จึงทำให้คุรุมาดะรู้สึกหนักใจไม่น้อย แต่สุดท้ายเมื่อทางทีมงานได้มีมติแน่ชัดว่าจะเปลี่ยนตัวนักพากย์หลักทั้ง 5 คน ฟุรุยะจึงขอถอนตัวออกไปด้วยตามที่เขาได้พูดไว้ ทำให้กลายเป็นต้องเปลี่ยนนักพากย์ใหม่หมดทั้งชุด ดังที่ได้กล่าวมา[37] ละครเพลง![]() ปี พ.ศ. 2534 เซนต์เซย่าได้ถูกสร้างเป็นละครเพลงในนามของ "บันไดซูเปอร์มิวสิคัล" ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างบริษัทบันไดและทีวีอาซาฮี โดยมีนักแสดงหลักคือกลุ่มนักร้องวัยรุ่น วง SMAP และวง TOKIO การแสดงละครเพลงชุดนี้จะดำเนินเรื่องโดยใช้เนื้อหาในภาคโพไซดอน และได้เปิดการแสดงตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน พ.ศ. 2534 [38] รายชื่อนักแสดงหลัก
เกม
ของเล่นเซนต์คลอธซีรีส์เซนต์คลอธซีรีส์ คือ ของเล่นในรูปแบบตุ๊กตาที่นำมาสวมชุดเกราะได้ ผลิตโดยบริษัทบันได ในช่วงปลายของยุค 1980 (ตั้งแต่ พ.ศ. 2523 - พ.ศ. 2532) ลักษณะของของเล่นจะเป็นหุ่นรูปคนที่มีข้อต่ออยู่หลายจุด ทำให้สามารถจัดท่าทางต่าง ๆ ได้ และมีชิ้นส่วนของชุดเกราะซึ่งแยกมาให้เป็นชิ้น ๆ เพื่อประกอบเข้ากับตัวของหุ่น จนมีลักษณะเหมือนกับเซนต์ในภาพยนตร์การ์ตูน อีกทั้งยังสามารถนำชิ้นส่วนของชุดเกราะไปประกอบเป็นรูปลักษณ์ประจำกลุ่มดาวต่าง ๆ ที่เป็นต้นแบบของชุดเกราะนั้น ๆ เหมือนกับในภาพยนตร์การ์ตูนด้วย บริษัทบันไดได้ออกวางจำหน่ายของเล่นชุดนี้ออกมาหลายตัวด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มบรอนซ์เซนต์ แบล็กเซนต์ สตีลเซนต์ โกลด์เซนต์ ก๊อดวอริเออร์ในภาคแอสการ์ด และมารีนเนอร์ในภาคโพไซดอน ส่วนซิลเวอร์เซนต์มีออกมาวางจำหน่ายเพียงตัวเดียวคือ อีเกิ้ล มารีน[39] ยิ่งไปกว่านั้นในประเทศญี่ปุ่นยังเคยมีการจัดแคมเปญพิเศษ 5 ครั้ง เพื่อแจกของเล่นชุดผลิตจำนวนจำกัด ได้แก่ ชุดโกลด์คลอธซาจิททาเรียสปลอม, กล่องใส่ชุดเซนต์, หุ่นเคียวโกอาเรส พร้อมบัลลังก์, ชุดโอดีนโร้บ และชุดบรอนซ์คลอธเวอร์ชันสีดำ ซึ่งต้องส่งชิ้นส่วนที่อยู่ด้านหลังกล่องของเล่นไปร่วมสนุกกับทางบริษัท โดยทางบริษัทจะใช้วิธีจับสลากหาผู้โชคดีที่จะได้รับรางวัลเหล่านั้น[40] แต่ต่อมาในช่วงยุค 2000 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2552) บริษัทในประเทศไต้หวันก็ได้ทำการผลิตของเล่นเลียนแบบชุดซาจิททาเรียสปลอม หุ่นเคียวโกอาเรส และชุดโอดีนโร้บ จากแคมเปญพิเศษนี้ออกมาวางจำหน่าย[41] ภายหลังในช่วงปี พ.ศ. 2547 ของเล่นชุดเซนต์คลอธซีรีส์ ได้ถูกนำมาผลิตซ้ำและออกวางจำหน่ายใหม่อีกครั้งโดยบริษัทบันไดฮ่องกง ส่วนในประเทศไทย มีบริษัทดรีมทอยเป็นตัวแทนจำหน่าย[42] กาชาปองกาชาปอง คือ หุ่นโมเดลยางขนาดเล็ก ที่ถูกบรรจุอยู่ในภาชนะรูปไข่หรือแคปซูล ซึ่งมีความสวยงามสมจริงในระดับหนึ่ง ของเล่นชนิดนี้มีต้นกำเนิดที่ประเทศญี่ปุ่น[43] เมื่อเราหยอดเหรียญลงในตู้ของเล่นที่บรรจุอยู่ในแคปซูลก็จะร่วงหล่นลงมา ในประมาณปลายปี พ.ศ. 2546 บริษัท บิ๊กวัน ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยอบ่างเป็นทางการโดยได้นำเข้าสินค้าในรูปแบบของตู้กดหยอดเหรียญมาจัดจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ทั่วประเทศ [43] ลำดับการวางจำหน่ายกาชาปองเซนต์เซย่า
เซนต์คลอธมิธในปี พ.ศ. 2546 บริษัทบันได ได้ผลิตสินค้าของเล่นเซนต์เซย่าในรูปแบบตุ๊กตาสวมชุดเกราะขึ้นมาอีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า "เซนต์คลอธมิธ" ซึ่งเป็นการดัดแปลงและพัฒนาจากของเล่นชุดเก่าอย่างเซนต์คลอธซีรีส์ ทำให้ตัวหุ่นกับชุดเกราะมีความสวยงาม และสมจริงมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งเปลี่ยนแปลงรูปแบบกล่องที่ใช้บรรจุใหม่ให้มีลักษณะใกล้เคียงกับกล่องใส่ชุดคลอธของเหล่าเซนต์ด้วย[44] โดยทางบริษัทบันไดยังคงทำการผลิตเซนต์คลอธมิธของตัวละครต่างๆ ในเรื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน และมีบริษัทดรีมทอยเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย[42] ลำดับการวางจำหน่ายเซนต์คลอธมิธ
พีวีซีฟิกเกอร์ Excellent ModelExcellent Model คือ หุ่นเซนต์เซย์ย่าในรูปแบบของ พีวีซีฟิกเกอร์ ซึ่งถอดประกอบไม่ได้ สูงประมาณ 20 เซนติเมตร [45] ถูกผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2550โดยบริษัท เมการ์เฮาส์ และมีบริษัทดรีมทอยเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย [45] เช่นเดียวกับสินค้า เซนต์คลอธมิธ โดยในช่วงแรกได้กำหนดการวางจำหน่ายชุดแรกในเดือนเมษายน แต่ในตอนหลังได้เลื่อนไปเดือนพฤษภาคม และได้ออกวางจำหน่ายจริงในเดือนมิถุนายน ลำดับการวางจำหน่าย พีวีซีฟิกเกอร์ Excellent Model
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น![]() วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เซนต์เซย์ย่า ![]() วิกิคำคมมีคำคมเกี่ยวกับ เซนต์เซย์ย่า
|
Portal di Ensiklopedia Dunia