เค็นชิ โยเนซุ
เค็นชิ โยเนซุ (ญี่ปุ่น: 米津玄師; โรมาจิ: Yonezu Kenshi) เป็นนักดนตรี, นักร้อง, นักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์เพลง และจิตรกรภาพประกอบชาวญี่ปุ่น เขาเริ่มสร้างผลงานโดยใช้นามแฝงว่า ฮาจิ (ハチ) ตั้งแต่ พ.ศ. 2552 จนกระทั่งใน พ.ศ. 2555 เขาได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อจริงแทนการใช้นามแฝง รวมถึงการใช้เสียงของตนเองในการสร้างสรรค์ผลงาน[2] เขามีในยอดขายแผ่นในประเทศญี่ปุ่นกว่า 4.2 ล้านแผ่นและแบบดิจิทัลกว่า 7 ล้านก๊อปปี้ ชีวประวัติอาชีพนักดนตรีช่วงแรกเค็นชิ โยเนซุ เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2534 ในเขตชนบทของจังหวัดโทกูชิมะ ประเทศญี่ปุ่น สมัยเด็กเขาเป็นผู้ที่สื่อสารกับผู้อื่นไม่เก่ง โดยเฉพาะกับพ่อของเขาเอง อีกทั้งกล่าวไว้ในการสัมภาษณ์ว่า "หากเทียบพ่อกับแม่ ทางแม่ดูเป็นกันเองกว่า" เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี แพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเขาเป็นออทิสติก[3][4] และยังมีกลุ่มอาการมาร์แฟนพ่วงอีกด้วย[5] โยเนซุเข้าวงการดนตรีครั้งแรกในปี 2549 ขณะที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 2 เขากับเพื่อนชื่อ ฮิโรชิ นากาจิมะ ได้ก่อตั้งวงดนตรีชื่อ Late Rabbit Edda ขึ้นมา เพื่อเล่นในงานวันเทศกาลวัฒนธรรมของโรงเรียน[6][7][8][9] เขารับหน้าที่เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง และนักกีตาร์เป็นครั้งคราว ขณะที่นากาจิมะเป็นมือกีตาร์หลัก กระทั่งปลายปี 2550 เขาได้ตั้งเว็บไซต์สำหรับวงดนตรีของพวกเขาขึ้นมาเพื่อโพสต์เนื้อเพลงและนิยายสั้น[10] และระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 ถึงมีนาคม พ.ศ. 2552 เขาได้อัปโหลดเพลงต้นฉบับจำนวน 24 เพลงไปยังเว็บไซต์แบ่งปันวิดีโอชื่อ Nico Nico Douga โดยใช้นามแฝงว่า "ฮาจิ"[2] แต่กลับไม่มีเพลงใดเลยที่โด่งดัง เพลงที่มียอดคนดูมากที่สุด "Beelzebub" มียอดผู้เข้าชมเพียง 23,000 ครั้ง[11] ต่อมาเขายังได้สร้างบล็อกขึ้นมา มีชื่อว่า Tekitō Edda (適当EDDA)[12][13] เขาย้ายไปที่โอซากะหลังเรียนจบมัธยมปลาย และเริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนวิจิตรศิลป์[14] ขณะที่กำลังเรียนอยู่ เขาได้อัปโหลดเพลงจำนวนหนึ่ง โดยใช้โวคาลอยด์ชื่อ ฮัตสึเนะ มิกุ แทน โดยเพลงของเขาก็มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก อาทิ มูซุนเดะฮิไรเตะราเซ็ตสึโทะมูกูโระ (結ンデ開イテ羅刹ト骸) ที่เขาอัปโหลดในปี 2552 เป็นเพลงที่มียอดผู้เข้าชมถึงหนึ่งล้านครั้งเป็นเพลงแรกบนเว็บไซต์[15] แม้ว่าเขาจะอัปโหลดเพลงที่ใช้เสียงของตัวเองมาแล้วกว่า 30 เพลง แต่เมื่อเพลงที่ใช้โวคาลอยด์สร้างขึ้นมีความโด่งดังมากกว่า[6] เขาก็ได้ลบเพลงพวกนั้นออก และเปลี่ยนชื่อบล็อกของเขาเป็น "เด็นชิโจฮาจิบังไง" (電子帖八番, "หนังสืออิเล็กทรอนิกส์หมายเลข 8") โดยต่อมา บล็อกของเขาเป็นหนึ่งในห้าที่ได้รับรางวัลไดมอนอะวอร์ด ในงาน 2009 WebMoney Awards[16] ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 เพลง "Clock Lock Works" ได้ปรากฏอยู่ในอัลบั้มรวมของบริษัทตัวแทนนักแต่งเพลง Exit Tunes ชื่อ Supernova นับเป็นครั้งแรกที่เพลงของเขาปรากฏในอัลบั้ม ต่อมาในเดือนมกราคม เพลงมูซุนเดะฮิไรเตะราเซ็ตสึโทะมูกูโระ ได้ปรากฏอยู่ในอัลบั้มรวม Vocalolegend feat. Hatsune Miku และติดสิบอันดับแรกบนออริคอน ซึ่งเป็นครั้งที่สองของบริษัท[17] ต่อมาในปี 2553 เขาออกอัลบั้มเป็นของตัวเองจำนวน 2 อัลบั้ม คือ "ฮานาตาบะโทะซุยโซ" ในเดือนกุมภาพันธ์ และ "ออฟฟิเชียลออเรนจ์" ในเดือนพฤศจิกายน ทั้งในปี 2553 และปี 2554 เพลงของเขาได้ปรากฏในอัลบั้มของ Exit Tunes เป็นจำนวนมาก รวมถึง Vocalonexus feat. Hatsune Miku ซึ่งเป็นอัลบั้มโวคาลอยด์ลำดับที่สองของบริษัทที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนออริคอน[18] เพลงของเขายังปรากฏในเกม ฮัตสึเนะมิกุ: โปรเจกต์ดีวาเอ็กซ์เทนด์ (2554) และ ฮัตสึเนะมิกุ: โปรเจกต์ดีวาเอฟ (2555) และในคอนเสิร์ตฮัตสึเนะมิกุ มิกุโนะฮิดังกันชาไซ (2012) ซึ่งกลายเป็นแผ่นดีวีดีหรือบลูเรย์อันดับหนึ่งในกลุ่มนักร้องเสมือน[19] ส่วนทางบัญชี Nico Nico ของ Hachi เพลงของเขาทั้ง 7 เพลงมียอดวิวมากกว่า 1,000,000 ครั้ง[20] รวมถึงเพลง "Matryoshka" ซึ่งมียอดวิวสูงถึง 5,000,000 ครั้งใน พ.ศ. 2555[21] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 โยเนซุได้เข้าร่วมกลุ่มแอนิเมชัน "มินากาตะเค็งกีวโจ" (南方研究所, "ห้องทดลองมินากาตะ") ซึ่งเป็นกลุ่มที่เขาได้ร่วมงานตั้งแต่วิดีโอ "Clock Lock Works" ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552[22] จนเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554 โยเนซุได้อัปโหลดวิดีโอโวคาลอยด์สุดท้ายของเขา หลังจากผลิตเพลงโวคาลอยด์มาเป็นเวลาประมาณ 3 ปี[20] ทางด้าน Late Rabbit Edda ยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2553 วงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Ernst Eckman และได้ ซูมิโมโตะ เป็นมือกลองคนใหม่ โดยพวกเขาได้ออกเพลงใหม่ในฐานะ Ernst Eckman บน MySpace ชื่อ "โอโบโรซูกิโทะโซโนะโคอัง" (オボロヅキとその考案, "พระจันทร์เสี้ยวกับแผนนั้น")[23] โดยที่โยเนซุออกจากวงเนื่องจากความรู้สึกของเขาเองที่รู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ จึงออกมาสร้างสรรค์ผลงานกับเพลงโวคาลอยด์[24] การเปิดตัวกับค่ายใหญ่ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 โยเนซุและนักดนตรีอีก 7 คน ได้ก่อตั้งค่ายเพลงอิสระชื่อ Ballom ขึ้นมา เพื่อขยายโอกาสทางการดนตรีของนักดนตรีบนอินเทอร์เน็ต[25] เขาเปิดตัวอัลบั้มแรกของเขาในชื่อ Diorama ในปี พ.ศ. 2555 เปิดตัวได้อันดับที่ 6 ขายได้กว่า 45,000 ก๊อปปี้[1][26] กลายเป็นการออกอัลบั้มที่ใหญ่ที่สุดของค่าย และเป็นหนึ่งในผู้ชนะรางวัล CD Shop Awards ครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นรางวัลที่โหวตโดยพนักงานจากร้านเพลง[27] ต่อมาเขาได้รับเลือกให้เป็นศิลปินภายใต้สังกัด Universal Sigma และเดบิวต์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 ด้วยซิงเกิล "Santa Maria"[28] รวมถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น ๆ ได้[29] ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556 โยเนซุได้เผยแพร่เพลงโวคาลอยด์เพลงใหม่ชื่อ "Donut Hole" (ドーナツホール) นับเป็นเวลา 2 ปีครึ่งตั้งแต่ที่เขาเผยแพร่เพลงโวคาลอยด์ครั้งล่าสุด โดยครั้งนี้ใช้วงดนตรีสดและเสียงร้องของกูมิ[30] ต่อมาในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557 โยเนซุออกอัลบั้มที่สอง มีชื่อว่า Yankee[31] ตามด้วยคอนเสิร์ตครั้งแรกของเขาในวันที่ 27 มิถุนายน ปีเดียวกัน[32] ต่อมาเพลง "Eine Kleine" ที่เขาเขียนขึ้น ถูกนำไปใช้ในแคมเปญเชิงพาณิชย์ของโตเกียวเมโทรในปี 2557[33] เขามีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับการเปิดตัวอัลบั้ม Bremen ในปี 2558 และ Bootleg ในปี 2560 โดยมีเพลงซิงเกิลฮิต อย่าง "อูจิอาเงะฮานาบิ", "Loser", "Orion" และ "Peace Sign" เป็นต้น ต่อมาอัลบั้ม Bootleg ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีในงานเจแปนเรคคอร์ดอะวอร์ดครั้งที่ 60 และทำให้โยเนซุกลายเป็นดาราดังระดับชาติ[34] ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561 โยเนซุได้เปิดตัวทางโทรทัศน์ในรายการ เอ็นเอชเค โคฮากุอูตะกัซเซ็ง ครั้งที่ 69 ซึ่งเป็นงานมหกรรมส่งท้ายปีและเป็นหนึ่งในรายการเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น เขาแสดงเพลง Lemon ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงของเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดใน พ.ศ. 2561 แบบสดจากเมืองโทกูชิมะซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา[35] นับเป็นครั้งแรกที่รายการ โคฮากุอูตะกัซเซ็ง ออกอากาศจากจังหวัดโทกูชิมะ นอกจากนี้ เพลง อูจิอาเงะฮานาบิ และ Paprika ที่โปรดิวซ์โดยโยเนซุก็ถูกนำมาแสดงในงานอีกด้วย[36] ในปี พ.ศ. 2562 โยเนซุได้เขียนเพลง "มาจิไงซางาชิ" ขึ้นมาสำหรับนักร้องชื่อ มาซากิ ซูดะ และได้รับรางวัล Best Pop Video ในงาน 2019 MTV Video Music Awards Japan ต่อมาเมื่อทาง Billboard Japan เผยแพร่แผนภูมิประจำปี เพลง Uma to Shika และ Machigai Sagashi อยู่ที่ 5 และ 6 ตามลำดับ[37] เขายังได้รับรางวัล Special Award จากงานเจแปนเรคคอร์ดอะวอร์ดครั้งที่ 61 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม และเพลง "Paprika" ก็ได้รับรางวัล Grand Prix อีกด้วย การที่อิทธิผลของเขาได้แผ่ขยายไปสู่ประเทศจีน ทำให้ในปีเดียวกันมีการจัดคอนเสิร์ตในต่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีนและประเทศไต้หวัน[38] เพลงที่เขาร่วมเขียนกับวงบอยแบนด์อาราชิ อย่าง "ไคท์" ถูกใช้เป็นเพลงประกอบการรายงานข่าวโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 ของเอ็นเอชเค ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เขาได้เข้าแสดงเพลงในบัลบั้ม Stray Sheep (2563) ใน Fortnite's Party Royale ซึ่งได้ปล่อยบัลบั้มไปเมื่อ 2 วันก่อน[39] ต่อมาในเดือนธันวาคม เขาเป็นหนึ่งในห้าผู้รับรางวัล Special Achievement Award ในงาน Japan Record Awards ครั้งที่ 62[40] ในปี 2565 โยเนซุได้ปล่อยเพลง "Kick Back" ซึ่งถูกใช้เป็นเพลงเปิดของอนิเมะเรื่องเชนซอว์แมน[41] ในปีถัดมา โยเนซุได้ปล่อยซิงเกิล "Tsuki wo miteita - Moongazing" (สึกิโวะมิเตอิตะ) สำหรับใช้เป็นเพลงประกอบในวิดีโอเกมไฟนอลแฟนตาซี XVI รวมทั้งเพลง "ชิคีวงิ" ในฐานะเพลงประกอบภาพยนตร์ของฮายาโอะ มิยาซากิเรื่องเด็กชายกับนกกระสา[42] ความสามารถทางศิลปะโยเนซุได้เขียนและแต่งเพลงของเขาเองทั้งหมด รวมถึงเพลงโวคาลอยด์และอัลบั้มอิสระ Diorama เขายังทำการเรียบเรียง ตั้งโปรแกรม มิกซ์ และเล่นเครื่องดนตรี ด้วยตัวเขาเองทั้งหมด[1][21] เมื่อเขาย้ายไปสังกัดยูนิเวอร์แซล โยเนซุเริ่มทำงานกับวงดนตรีในการแสดงดนตรี[29] เขาคิดว่าวงดนตรีญี่ปุ่นอย่าง Bump of Chicken, Asian Kung-Fu Generation Spitz และ Radwimps ส่งอิทธิผลต่องานของเขาเป็นอย่างมาก และนักเขียนชาวญี่ปุ่นอย่าง เค็นจิ มิยาซาวะ และ มิชิมะ ยูกิโอะ ได้ส่งอิทธิผลต่อเนื้อเพลงในผลงานของเขา[7][14] ในฐานะที่เป็นนักวาดภาพประกอบ เขารู้สึกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาพประกอบของ เอ็ดเวิร์ด กอรีย์[7] โดยปกติแล้ว เขามักจะแต่งเพลงโดยใช้กีตาร์ แต่บางครั้งก็ใช้กลองในการสร้างทำนอง[43] เขาแบ่งอาชีพของเขาเป็นสองส่วน ส่วนที่สร้างผลงานเพลงโวคาลอยด์จะใช้ชื่อ "ฮาจิ" และส่วนที่สร้างผลงานโดยใช้เสียงตนเองจะใช้ชื่อจริงของเขา "เค็นชิ โยเนซุ"[2] เขามีความรู้สึกว่า เพลงที่สร้างโดย "ฮาจิ" นั้น ถูกสร้างเพื่อชาว Nico Nico Douga ขณะที่เพลงในนามของเขาเองกลับไม่ได้มีอะไรเชื่อมโยงแบบนั้น[44] ในขณะที่เขาไม่ต้องการที่จะโคเวอร์เพลงโวคาลอยด์ของเขาเองในอัลบั้ม Diorama (2555) เขากลับรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเพลงของเขาและเพลงของ "ฮาจิ" นั้นขุ่นมัวขึ้นระหว่างการทำอัลบั้ม Yankee (2557) และทำให้เขาได้โคเวอร์เพลง "Donut Hole" ของตัวเองลงในอัลบั้มนี้[44][45] "ซูนะโนะวากูเซ" (砂の惑星; ชื่อภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการ "DUNE") เป็นเพลงที่แต่งและเรียบเรียงโดย "ฮาจิ" หลังจากที่ห่างหายไปจากวงการเพลง VOCALOID เป็นเวลานาน นับตั้งแต่ผลงานก่อนหน้าอย่าง "Donut Hole"[46] เพลงนี้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบในงาน ฮัตสึเนะมิกุแมจิเคิลมิไร 2017 และยังปรากฏใน "แมจิเคิลมิไร 2017 ออฟฟิเชียลอัลบั้ม"[47] ซึ่งเพลงนี้ยังถูกบรรจุเข้า Hall of Legend บนนิโกะนิโกะ และมียอดผู้เข้าชมกว่า 1 ล้านครั้งบนยูทูบหลังจากการอัปโหลดเพียงไม่นาน[48] โยเนซุยังทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับนักดนตรีคนอื่น ๆ มาเป็นจำนวนหลายครั้งแล้ว โดยเพลงแรกที่เขาแต่งและเรียบเรียงให้คือ เพลงชื่อ "นิรูงิริ" (ニルギリ, 2553) ของนักร้องอินเทอร์เน็ตชื่อ Lasah[49] ต่อมาเขาได้แต่งและเรียบเรียงเพลง "Escape Game" (エスケープゲーム) สำหรับนักร้องอนิเมะ ลิซา ในอัลบั้ม Letters to U (2554) ของเธอ[50] โยเนซุยังได้รีมิกซ์เพลงปิดของอนิเมะเรื่อง ดอกไม้ มิตรภาพ และความทรงจำ มีชื่อเพลงว่า "Secret Base (คิมิงะคูเรตะโมโนะ) (Those Dizzy Days Ver.)" ซึ่งถูกปล่อยในปี 2556[51] แม้ว่าจะมีการแสดงสดแบบออนไลน์บน Ustream ทุกเดือน แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสดบ่อยนัก วงดนตรีสมัยมัธยมปลายของเขาอย่าง Late Rabbit Edda ก็มีการแสดงสดเพียงครั้งเดียวในวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551[52] และไปสมัครเพื่อแสดงในงาน Senkō Riot ซึ่งเป็นงานการประกวดดนตรีสำหรับวัยรุ่น โดยวงผ่านรอบเทปการสาธิต แต่พลาดในการแสดงกับสตูดิโอแบบสดเพื่อเข้าสู่รอบสุดท้ายซึ่งเป็นการแสดงสด[14] โยเนซุยังได้แสดงเป็น "ฮาจิ" ในงานโวคาลอยด์หลายงาน แม้เขาจะเปิดตัวในสายอาชีพมาตั้งแต่ปี 2555 แต่ก็ไม่ได้มีการแสดงสดเลยมาเกือบ 2 ปี[53] คอนเสิร์ตครั้งแรกของเขาถูกวางไว้ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557 สองเดือนหลังจากการเปิดตัวอัลบั้ม Yankee[32] โยเนซุวาดภาพประกอบวิดีโอในช่วงแรก ๆ บนนิโกะนิโกะเองทั้งหมด โดยใช้เครื่องสแกนหรือปากกาแท็บเล็ตเพื่อวาดภาพ[15] ในสมัยที่เขาอายุได้ 10 ขวบ พ่อแม่ของเขาซื้อคอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่ง เขาจึงใช้มันวาดแอนิเมชันแฟลชสำหรับเพลงของวง Bump of Chicken ลงบนอินเทอร์เน็ต[7] รวมถึงในอัลบั้ม Diorama เขาก็ยังคงวาดภาพประกอบเอง นั่นแสดงว่าเขาทั้งแต่งเพลงและวาดปกอัลบั้มด้วยตัวของเขาเอง พร้อมกับรับความช่วยเหลือจากสมาชิกของกลุ่ม "มินากาตะเค็งกีวโจ"[1] แม้ต่อมา เขาจะย้ายมาสังกัดยูนิเวอร์แซลแล้ว ผลงานของเขาก็ยังคงปรากฏงานวาดของเขาเองอยู่ ส่วนมากเขาจะใช้โปรแกรมอย่าง Adobe Photoshop Elements, Adobe After Effects และ Corel Painter Essentials สำหรับการสร้างแอนิเมชัน[22] ภาพประกอบของโยเนซุยังปรากฏในนิตยสารดนตรีอย่าง Rockin' On Japan เริ่มจากฉบับเดือนสิงหาคม 2556 และผลงานของเขาชื่อ ไคจูซูกัง (かいじゅうずかん, "Monster Picture Index") ที่นำเสนอสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ ก็เป็นผลงานวาดของเขาเช่นกัน[54] เขาใช้โปรแกรม Cakewalk Sonar สำหรับสร้างสรรค์ผลงานเพลง[22] หากจะสร้างเพลงโวคาลอยด์ เขาจะใช้โปรแกรม Vocaloid 2 และเสียงของฮัตสึเนะ มิกุ[6][20][22] อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2553 โยเนซุเริ่มใช้เสียงร้องของ เมงูริเนะ รูกะ (巡音ルカ) และกูมิ ในเพลงของเขา[20] อัลบั้ม ฮานาตาบะโทะซุยโซ จะพบเพียงเสียงร้องของ ฮัตสึเนะ มิกุ เท่านั้น แต่ในอัลบั้ม ออฟิเชียลออเรนจ์ มีทั้งเสียงร้องของ ฮัตสึเนะ มิกุ, เมกูริเนะ รูกะ, กูมิ และรวมถึงเสียงของเขาเองในเพลงยูเอ็งชิไง (遊園市街, "เมืองแห่งความสนุก")[7] โยเนซุได้ตอบไว้ในรายการวิทยุว่า เพลง "MOTHER" ของ ซูซูมุ ฮิราซาวะ ที่เขาได้ฟังเมื่อเขาอายุ 18 ปี ขณะกำลังเริ่มอาชีพสายดนตรีนั้น "เป็นเพลงที่เปลี่ยนชีวิตของผม" และยังกล่าวไว้ว่า "เพลงทุกเพลงของ ซูซูมุ ฮิราซาวะ นั้นแฝงด้วยฝีมือที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน และเพลงนั้นก็ได้ส่งอิทธิผลต่อผมมาก ๆ"[55] โยเนซุกล่าวว่าเขารู้จักซูซูมุ ฮิราซาวะ จากนิโกะนิโกะ และยังบอกว่า "เพลง MOTHER เป็นเพลงใหม่ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย มันทำให้ผมรู้สึกหวนระลึกถึงความทรงจำในอดีต ผมรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่เป็นสากลในเพลงนี้" และ "ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่มีความสมดุลอย่างน่าเหลือเชื่อ และเป็นครั้งแรกที่ผมอยากจะเอาความสมดุลนั้นมาใส่ในเพลงของผม Christ Peppler พิธีกรรายการวิทยุและนักแสดงนำจาก 'Kamen Rider Drive' เคยถามผมว่า "อยากเจอเขามั้ยล่ะ" ผมตอบกลับไปว่า "ตรงกันข้ามเลยล่ะ ผมไม่ต้องการพบกับคนที่ผมเคารพหรอก""[55] ผลงานเพลง
รางวัลและการได้รับเสนอชื่อเข้ารับรางวัล
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia