อักษรสุโขทัย
อักษรสุโขทัย (อังกฤษ: Sukhothai script) หรือ ลายสือไทย[2] บ้างเรียกอักษรไทยดั้งเดิม หรือชุดตัวอักษรพ่อขุนรามคำแหง เป็นชุดตระกูลอักษรพราหมีที่มีต้นกำเนิดในอาณาจักรสุโขทัย พบในจารึกพ่อขุนรามคำแหงและจารึกพระยาลือไทย[1] ประวัติต้นกำเนิดอักษรสุโขทัยอิงจากอักษรเขมรแบบลายมือ ซึ่งเกิดจากการแยก ตัด และถอดตัวเสริมออกจากอักษรเขมรดั้งเดิม[3] มีแชล แฟร์ลุส (Michel Ferlus) นักวิชาการ ได้แสดงให้เห็นว่า ลักษณะเฉพาะบางประการของอักษรไทโบราณและสมัยใหม่สามารถอธิบายได้จากความไม่เพียงพอและช่องว่างในอักษรเขมรโบราณ โดยเฉพาะอักษรเขมรสมัยก่อนพระนคร[4] อักษรสุโขทัยได้รับการรับรองครั้งแรกบนจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่สลักในช่วง ค.ศ. 1283 ถึง 1290 แต่อักษรนี้เป็นผลจากการดัดแปลงอักษรก่อนหน้าที่ไม่ได้มีการรับรอง ซึ่งอิงจากอักษรเขมร แฟร์ลุสตั้งทฤษฎีว่าอาจมีอักษรก่อนหน้านั้นที่พัฒนาขึ้นในสมัยก่อนพระนคร (คริสต์ศตวรรษที่ 7–8) ซึ่งอยู่ก่อนหน้าความแน่นอนในปัจจุบันประมาณ 4 ศตวรรษ อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้อีกแบบคืออักษรเขมรสมัยก่อนพระนครอาจมีมาแล้วในบริเวณรอบนอกของอารยธรรมเขมร อักษรไทชนิดแรกอาจต้องมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับอักษรเขมร แต่อักษรไทได้นำนวัตกรรมมาประยุกต์ เช่น การปรับใช้หรือดัดแปลงอักษร เพื่อสร้างอักษรใหม่ให้เสียงที่ไม่ปรากฏในอักษรเขมร[4] ตามธรรมเนียมไทยระบุว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรสุโขทัยใน ค.ศ. 1283[5] แฟร์ลุสแบ่งอักษรไทที่มีต้นกำเนิดจากเขมรออกเป็น 2 กลุ่ม: อักษรกลาง ประกอบด้วยอักษรโบราณ (สุโขทัย, ฝักขาม) กับอักษรสมัยใหม่ (ไทย, ลาว) และอักษรไทรอบข้างในประเทศเวียดนาม (ไทดำ, ไทด่อน, ไทแดง, ลายตัย และลายปาว)[4] แฟร์ลุสเสนอแนะว่าชาวไทรับรูปแบบอักษรเขมรทั้งหมดไปใช้โดยขาดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ในเวลาต่อมาเมื่อชาวไทกระจายทั่วภาคพื้นทวีปอุษาคเนย์ ชาวไทที่ไปทางใต้ (ภายหลังกลายเป็นเป็นชาวไทยหรือสยาม) เข้าไปในดินแดนพระนคร แล้วก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย อักษรไทดั้งเดิมถูกทำให้เป็นเขมรในช่วงที่มีการติดต่อกับเขมร ซึ่งก่อให้เกิดอักษรสุโขทัย[ต้องการอ้างอิง] คุณสมบัติอย่างลำดับอักษรและตัวเลขทำมาจากอักษรเขมร แต่มีการเปลี่ยนสัญลักษณ์สระบางส่วน โดยยังคงรักษาลักษณะดั้งเดิมของอักษรเขมรสมัยก่อนพระนครไว้ได้ หากแต่ไม่มีการเรียงลำดับอักษร หรือการใช้ตัวเลข[4] แอนโทนี ดิลเลอร์ (Anthony Diller) รายงานว่า นวัตกรรมที่พบในอักษรสุโขทัยเมื่อเปรียบเทียบกับอักษรเขมร แสดงให้เห็นว่า อักษรสุโขทัยเป็นอักษรที่ผ่านการวางแผนและเป็นเอกภาพ[6] แพร่กระจายและรุ่นลูกหลังการประดิษฐ์อักษรสุโขทัย อักษรนี้ได้กระจายไปทั่วอาณาจักรไทในล้านช้าง (ลาว) ล้านนา และอยุธยา จารึกสุโขทัยที่เก่าแก่ที่สุดพบในจังหวัดลำปาง (ล้านนา) มีรูปร่างเกือบคล้ายกับอักษรเก่าที่สุดที่พบในสุโขทัย จารึกนั้นมีต้นกำเนิดที่จังหวัดลำพูน แต่เขียนโดยพระสงฆ์สุโขทัยที่น่าจะนำอักษรสุโขทัยเข้าสู่ล้านนา หลังจากนั้นอักษรนี้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือและใต้ เมื่อเวลาผ่านไปจึงมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง Finot (1959) รายงานว่า อักษรสุโขทัยตัวอย่างแรกสุดพบในหลวงพระบาง โดยมีอายุถึง ค.ศ. 1548 ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากจารึกพ่อขุนรามคำแหงถึง 265 ปี[5] ![]() อักษรสุโขทัยที่กระจายไปทางใต้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกันกับอักษรไทยสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงจากอักษรสุโขทัยน้อยมาก[5] อักษรสุโขทัยได้รับการพัฒนาเป็นอักษรไทยในลุ่มน้ำตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากการพัฒนานี้สามารถสืบย้อนไปได้ตลอดหลายศตวรรษ[1] ในรัชสมัยพระยาลิไทช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ผู้ที่อ่านหนังสือออกยังคงคุ้นเคยกับอักษรเขมรและไม่ยอมเขียนในอักษรสุโขทัย เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จึงมีการแก้ไขอักษรให้เขียนสระใกล้เคียงกับอักษรเขมรมากขึ้น[7] โดยก่อให้เกิดอักษรใหม่ใน ค.ศ. 1375 ที่มีชื่อว่า "อักษรพระยาลิไท" โดยอักษรนี้เขียนสระทั้งบน ล่าง ด้านหน้าหรือด้านหลังพยัญชนะต้น จากนั้นใน ค.ศ. 1680 อักษรนี้จึงพัฒนาไปเป็น "อักษรพระนารายณ์" ซึ่งภายหลังพัฒนาและคงรูปเป็นอักษรไทยสมัยใหม่[8] ส่วนทางเหนือ อักษรนี้พัฒนาไปเป็นอักษรฝักขาม[5] อักษรฝักขามใช้กันอย่างแพร่หลายในอาณาจักรล้านนาระหว่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16[9] จากนั้นอักษรฝักขามเริ่มยาวขึ้นและมีมุมกลมมากกว่าที่จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและตั้งฉากเหมือนอักษรสุโขทัยก่อนหน้า ตัวอักษรหลายตัวมี "หาง" ที่เห็นได้ชัดเจน ซึ่งทอดยาวทั้งเหนือและใต้บรรทัดเขียนหลัก[5]
ลักษณะอักษรสุโขทัยเขียนจากซ้ายไปขวา ไม่มีการเว้นว่างระหว่างคำ อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ หรือเครื่องหมายจุดที่ท้ายประโยค อักษรนี้มีพยัญชนะ 39 ตัว[8] เมื่อเทียบกับอักษรเขมรแล้ว อักษรสุโขทัยประดิษฐ์นวัตกรรม 4 ประการ นวัตกรรมประการแรกคือการนำตัวอักษรใหม่มารองรับความแตกต่างทางสัทศาสตร์ภาษาไทที่ไม่มีในอักษรเขมร ซึ่งรวมถึงเสียง /e/ กับ /ae/, /pʰ/ กับ /f/, และ /kʰ/ กับ /x/ ตัวอักษรใหม่สร้างขึ้นด้วยการปรับเปลี่ยนตัวอักษรที่ใช้สำหรับเสียงที่คล้ายคลึงกันด้วยการเพิ่มส่วน เช่น ส่วนท้ายหรือรอยหยักให้กับตัวอักษร[6] อักษรสุโขทัยถือเป็นอักษรแรกของโลกที่เพิ่มสัญลักษณ์วรรณยุกต์ในการระบุตำแหน่งวรรณยุกต์ ซึ่งไม่ปรากฏในอักษรมอญ-เขมร (ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก) และกลุ่มภาษาอินโด-อารยันที่ใช้อักษรที่มีมาก่อนอักษรสุโขทัย[6] นอกจากนี้ การเพิ่มเติมอีกแบบคือพยัญชนะควบกล้ำ (consonant cluster) ที่เขียนในแนวนอนและต่อเนื่องกันในบรรทัดเดียว แทนที่จะเขียนพยัญชนะตัวที่สองด้านล่างบรรทัดแรก[6] พยัญชนะพยัญชนะเดี่ยวพยัญชนะคู่
ตัวเลขตัวเลขข้างล่างคือตัวเลขสุโขทัยที่ยืมมาจากตัวเลขเขมร[4]
สระรูปสระเขียนอยู่บนบรรทัดหลัก แต่ในภายหลังหันกลับมาเขียนแบบเดิม (ทำให้คล้ายกับเขมร)[5] เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ได้มีการเพิ่มเครื่องหมายเสริมสัทอักษรกำกับเสียงสระหลายตัวในอักษรสุโขทัยแบบก่อน ตามที่พบในจารึกพ่อขุนรามคำแหง เพื่อเขียนสระทั้งหมด สระบางตัวถือเป็นสระโดยธรรมชาติในอักษรสุโขทัยแบบก่อนหน้าที่มีเครื่องหมายชัดเจน[6]
เครื่องหมายเสริมสัทอักษร
ตัวอย่างอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |
Portal di Ensiklopedia Dunia