อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ
อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ เป็นอนุสรณ์สถานที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมได้โปรดให้จัดสร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของเหล่าทหารจากกรมกองต่าง ๆ ที่เสียสละชีวิตเพื่อป้องกันประเทศชาติในการปราบกบฎฮ่อ ประกอบด้วยกรมทหารอาสาวิเศษ กรมแปดเหล่า กรมฝรั่งแม่นปืน กรมทหารมาลา กรมสัสดี กรมเรือต้น กรมทหารมหาดเล็ก และกรมการหัวเมือง โดยตั้งอยู่ที่ด้านข้างทางทิศตะวันตกของสถานีตำรวจภูธรเมืองหนองคายในปัจจุบัน ต่อมาในปี 2492 จังหวัดหนองคายได้รับงบประมาณทำการบูรณปฏิสังขรณ์อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ โดยได้ย้ายมาก่อสร้างองค์ใหม่ ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดหนองคาย (หลังเก่า) มีลักษณะเป็นศิลปะประยุกต์ แบบทรงสี่เหลี่ยม ก่ออิฐถือปูน มีฐานเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม กว้าง 4 เมตร สูง 10.10 เมตร ยอดทรงกรวยเหลี่ยมปลายแหลม และได้คัดลอกข้อความจากอนุสาวรีย์องค์เดิมมาไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยในวันที่ 5 มีนาคม ของทุกปี จังหวัดหนองคายจะประกอบพิธีบวงสรวงขึ้น เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาวจังหวัดหนองคาย และเป็นการระลึกถึงวีรกรรมอันหาญกล้าของบรรพบุรุษ ที่ต่อสู้ปกป้องแผ่นดินให้พ้นจากการรุกรานของพวกฮ่อ[1] ประวัติอนุสาวรีย์ปราบฮ่อเป็นอนุสาวรีย์แห่งเดียวเท่านั้นในจังหวัดหนองคาย เป็นอนุสาวรีย์เทิดทูนความดีของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในการปราบฮ่อใน ร.ศ. 105 (พ.ศ. 2429) เสด็จในกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม รับสั่งให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่เมืองหนองคายเพื่อบรรจุอัฐิของผู้ที่เสียชีวิตในการปราบฮ่อ เดิมตั้งอยู่ที่หลังสถานีตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย ต่อมาในปี 2492 จังหวัดหนองคายได้รับงบประมาณให้ปรับปรุงอนุสาวรีย์ปราบฮ่อให้สง่างามสมกับเป็นอนุสาวรีย์ของผู้ที่ได้เสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองให้เป็นศรีสง่าแก่เมืองหนองคายสืบไป จึงย้ายมาสร้างใหม่ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด มีคำจารึกที่อนุสาวรีย์ทั้ง 4 ทิศ ทั้งภาษาไทย จีน ลาว และอังกฤษ มีข้อความว่า ปางนี้จักแสดง พจน์พร้อมผู้ภักดี ในอนุสาวรีย์ ไว้เป็นที่ระลึกตาม ผู้กอปรด้วยภักดี ดังอาภรณ์ประดับงาม ชีพมลายขจรนาม ปรากฏเกียรตินิรันดร สูญสุริย์จันทร จึงจะสูญซึ่งความดี วายชีพทำการกิจ โดยความสวามี ภักดีต่อชุลี ละอองบาททบมาลย์ ปวงปราชญ์คงจักซ้อง ศรับแล้วสาธุการ นับว่าเป็นทัยสูญ ขมีขลาดขยาดขย่อน องอาจต่อราชกิจ มิได้คิดแต่ความมรณ์ คณะเทพไตรสร จักชูช่วยอำนวยผล นำขันธ์เสวยสุข นฤทุกข์บ่ได้ยล สุขขกิจจงจักดล ประโลกยับแปรปรวน สุดท้ายมีคำจารึกไว้ว่า "อนุสาวรีย์นี้ได้เปิดแต่ศักราช 1247 ควบ 1248 พุทธศักราชล่วงแล้ว"[1] ทางจังหวัดได้กำหนดให้มีการจัดงานบวงสรวงและฉลองอนุสาวรีย์เป็นประจำทุกวันที่ 5 มีนาคม ของทุกปี[2] อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia