หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร
หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ม.ป.ช. ม.ว.ม. ต.จ. บ.ภ. (เกิด 22 กันยายน พ.ศ. 2495) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนที่ 15 อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์[1] เขาเป็นที่จดจำจากการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครระหว่างปี 2552 ถึง 2559 โดยในการเลือกตั้งปี 2556 เขายังได้รับเลือกตั้งอีกสมัย ประวัติหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ มีชื่อเล่นว่า คุณชายหมู เป็นโอรสในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ กับหม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับสินนภา สารสาส เขาสมรสครั้งที่ 1 กับนุชวดี บำรุงตระกูล มีบุตรคือ รองศาสตราจารย์ หม่อมหลวงพินิตพันธุ์ บริพัตร (อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และสมรสครั้งที่สองกับ สาวิตรี บริพัตร ณ อยุธยา (สาวิตรี ภมรบุตร) มีบุตรคือ หม่อมหลวงวราภินันท์ บริพัตร การศึกษาหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจาก โรงเรียน Cheam และโรงเรียน Rugby ประเทศอังกฤษ โดยศึกษาระหว่างปี พ.ศ. 2506 - พ.ศ. 2513 ต่อมาจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยมอันดับ 2) และระดับปริญญาโทจากวิทยาลัยเพมโบร์ก มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และสาขาวิชาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ (PPE) ในปี พ.ศ. 2520 และจบการศึกษาในระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ สหรัฐอเมริกา สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2521 งานการเมืองหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคนำไทย ร่วมกับอำนวย วีรวรรณ เมื่อ พ.ศ. 2537 และเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคนำไทย จนต่อมา เขาเข้าเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 6 (บางรัก สาทร ปทุมวัน) เมื่อปี พ.ศ. 2539 และ 2544 ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2540[2] ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 เนื่องจากการยุบสภา[3] และปฏิบัติหน้าที่รักษาการไปจนกระทั่งได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544[4] หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 24 ของพรรคประชาธิปัตย์ จากการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548 นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค และดูแลงานทางด้านต่างประเทศและความมั่นคง ในการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2550 หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบสัดส่วนโซน 6 กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี ลำดับที่ 3 และชนะการเลือกตั้ง ภายหลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 และมีการจัดตั้งรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียวได้ประกาศตั้งคณะรัฐมนตรีเงาขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรค ให้ทำหน้าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเงา การตกลงเป็นตัวประกันในเหตุการณ์ยึดสถานทูตพม่า พ.ศ. 2542เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ในรัฐบาลชวน หลีกภัย เกิดเหตุการณ์ก๊อด อาร์มี่ กองกำลังติดอาวุธของนักศึกษาพม่า บุกเข้ายึดสถานเอกอัครราชทูตพม่า ประจำประเทศไทย ที่ถนนสาทรเหนือ และจับเจ้าหน้าที่สถานทูตเป็นตัวประกัน หลังการเจรจาต่อรองเป็นเวลาหลายชั่วโมง ผู้ก่อการร้ายยินยอมปล่อยตัวประกัน แลกกับให้ทางการไทยจัดเฮลิคอปเตอร์ไปส่งที่ อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นชายแดนไทย-พม่า โดย หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น เสนอตัวเป็นตัวประกันนั่งโดยสารไปด้วยเพื่อรับรองความปลอดภัยจนกระทั่งถึงที่หมาย ทำให้เหตุการณ์ครั้งนั้นยุติลงได้โดยไม่มีการสูญเสียชีวิต[ต้องการอ้างอิง] การลงนามในบันทึกข้อตกลงปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543ในปี พ.ศ. 2543 หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 14 - 16 มิถุนายน พ.ศ. 2543 บันทึกความเข้าใจดังกล่าว มีสาระสำคัญส่วนหนึ่ง คือ การสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินการโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คืออนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย ต่าง ๆ และ แผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของ คณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศส ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 หลังเกิดกรณี นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในเอกสารแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจมีผลเปลี่ยนแปลงเขตแดนประเทศไทยโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เกิดการโจมตีหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์และพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวกับการลงนามในบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 ที่ระบุให้การจัดทำหลักเขตแดนยึดตามแผนที่ฝรั่งเศส-สยาม (ค.ศ. 1904) เป็นแนวทาง โดยไม่ระบุแผนที่แอล 7017 ของสหรัฐอเมริกาที่ไทยใช้อ้างอิง ซึ่งอาจตีความได้ว่ามีผลเปลี่ยนแปลงเขตแดนประเทศ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ก่อนการลงนามของนายนพดล ปัทมะ เรื่องดังกล่าว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ชี้แจงว่าการระบุถึงแผนที่ ค.ศ. 1904 เป็นการระบุประกอบเอกสารหลักคือ อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ซึ่งแผนที่ที่ออกมาภายหลังจากนั้น หรือไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันกับการสำรวจและปักปันหลักเขตแดนจะขัดหรือแย้งไม่ได้ การลงนามในปี พ.ศ. 2543 จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงเขตแดนประเทศแต่อย่างใด[5] ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสมัยแรกภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีชี้มูลความผิด นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในคดีทุจริตโครงการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6,800 ล้านบาท และนายอภิรักษ์ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบนั้น คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีมติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ส่งชื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตรได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร การบริหารงานของสุขุมพันธ์ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของชาวกรุงเทพมากนัก และมักจะได้รับเสียงบ่นด่าอยู่เสมอจากการบริการงานที่ล่าช้าและไม่โปร่งใส อาทิ การสร้างสนามบางกอกอารีนาไม่ทันการแข่งขันฟุตซอลโลก, กล้องซีซีทีวีปลอม, การต่อสัญญาสัมปทานบีทีเอส 30 ปี, ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก[6] ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสมัยสองแม้ว่าจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนมากนัก แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ตัดสินใจส่งสุขุมพันธ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานครสมัยที่สอง ในการเลือกตั้งเมื่อ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งสุขุมพันธ์ต้องแข่งขันกับ พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ คู่แข่งจากพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรครัฐบาล การสำรวจโดยสำนักโพลต่าง ๆ ก่อนการเลือกตั้ง พบว่าพงศพัศ มีคะแนนนำสุขุมพันธ์ในการสำรวจทุกครั้ง และมวลชนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็หันไปสนับสนุนผู้สมัครคนอื่น ๆ จนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งดิ้นรนที่จะรักษาฐานอำนาจทางการเมืองจำเป็นต้องหาเสียงโดยใช้วาทกรรม "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" และกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นพวก "เผาบ้านเผาเมือง"[7] เพื่อจูงใจคนที่ไม่ชอบพรรคเพื่อไทยหันมาเทคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะไปเลือกผู้สมัครคนอื่นซึ่งจะเป็นคะแนนที่เสียเปล่า การหาเสียงด้วยวาทกรรมนี้ ช่วยให้สุขุมพันธ์พลิกกลับมาชนะการเลือกตั้ง ด้วยคะแนนเสียง 1,256,349 เสียง ข้อวิจารณ์ในตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสุขุมพันธ์ใช้งบประมาณไปอย่างสิ้นเปลืองในโครงการต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานคร มีการใช้งบกว่า 1.28 พันล้านบาท จัดซื้อเครื่องดนตรีให้แก่โรงเรียนในสังกัดที่ไม่มีบุคลากรครูผู้สอน[8] มีการใช้งบ 39 ล้านบาทในการประดับตกแต่งไฟบริเวณลานคนเมืองและขั้นตอนไม่โปร่งใส[9]การปฏิเสธโครงการความช่วยเหลือแบบให้เปล่าด้านโรงไฟฟ้าขยะจากรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากมีโครงการอยู่กับบริษัทจากจีน[10] นอกจากนี้ยังมีการใช้งบประมาณกว่า 16.5 ล้านบาทในการตกแต่งห้องทำงานส่วนตัว และยังมีการจัดซื้อรถดับเพลิงขนาดเล็กพวงมาลัยซ้ายสมรรถนะต่ำในราคาคันละ 8 ล้าน และเรือดับเพลิงขนาดเล็กคันละ 10 ล้าน แม้จะถูกสตง. ท้วงติงแล้ว[11] สุขุมพันธ์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครได้ เขาเคยตอบเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไว้ว่า "...ถ้าไม่อยากมีจุดเสี่ยงเรื่องน้ำท่วม ต้องไปอยู่บนดอยครับ"[12] สุขุมพันธ์ให้ความช่วยเหลือกลุ่มกปปส. ในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่อ้างว่ากทม. มีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการชุมนุมของประชาชนโดยไม่เลือกฝ่าย[13] พรรคประชาธิปัตย์พยายามพูดคุยกับเขาในเรื่องการทำงานแต่ก็ถูกเพิกเฉย จนพรรคประกาศตัดสัมพันธ์กับเขาในวันที่ 21 มกราคม 2559[14] แม้ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย จะออกมาเรียกร้องให้สุขุมพันธ์แสดงความรับผิดชอบต่อข้อครหาต่าง ๆ โดยการลาออกจากตำแหน่ง แต่หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ก็ยืนยันที่จะไม่ลาออก[15] เสียงวิจารณ์ถึงขั้นว่า มีบุคคลออกมาเรียกร้องให้คณะรัฐประหารใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดสุขุมพันธ์ออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกทม.[16] จนในวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559 คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคำสั่งให้สุขุมพันธุ์ระงับการปฏิบัติราชการ หรือหน้าที่ในกรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว[17][ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้] ซึ่งมีการแต่งตั้ง ผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในวันเดียวกัน[18] ต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีคำสั่งที่ 64/2559 เรื่อง การให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยอ้างอิงจากคำสั่งที่ 50/2559 ที่ผ่านมานั้นเพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง จึงอาศัยความตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มีคำสั่งให้ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และให้พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯ กทม. ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ กทม.[19][20] ทรัพย์สินในปี 2552 เขาเปิดเผยทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยระบุว่ามีทรัพย์สิน 578 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นที่ดิน 387 ล้านบาท และเงินฝาก 123 ล้านบาท และระบุว่าเป็นเจ้าของธุรกิจรีสอร์ทของครอบครัว ชื่อ บริษัท บ่อจืดรีสอร์ทและสปา จำกัด ซึ่งมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 5,000 บาท[21] เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
เครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
ลำดับสาแหรก
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร วิกิคำคมมีคำคมเกี่ยวกับ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร
|
Portal di Ensiklopedia Dunia