สิงห์ผจญเพลิง
สิงห์ผจญเพลิง (ญี่ปุ่น: め組の大吾; โรมาจิ: Megumi no Daigo) (อังกฤษ: Firefighter! Daigo of Fire Company M) เป็นผลงานการ์ตูนแนวดุเดือดผจญภัย ของ มาซาฮิโตะ โซดะ นักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น ผู้เขียนเรื่อง สิงห์นักปั่น และ ซูบารุ เต้นสุดฝัน เนื้อเรื่องเล่าถึงการทำงานของตัวเอกชื่ออาซาฮินะ ไดโกะซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ที่ต้องทำงานในสถานการณ์อุบัติภัยต่างๆ พร้อมกับแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ พัฒนาการและความเติบโตทางจิตใจของตัวเอก เดิมทีเรื่องสิงห์ผจญเพลิง เป็นการ์ตูนรายสัปดาห์ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ โชงะกุกัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 และเรียบเรียงใหม่เป็นฉบับรวมเล่มทั้งหมด 20 เล่มด้วยกัน หลังจากนั้นได้แพร่หลายเข้ามายังประเทศไทย โดยผู้ซื้อลิขสิทธิ์สำหรับตีพิมพ์เรื่องนี้ในประเทศไทย ได้แก่ สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ โดยจัดพิมพ์จำหน่ายเป็นฉบับรวมเล่ม 20 เล่ม เช่นเดียวกับต้นฉบับจากญี่ปุ่น โดยการตีพิมพ์ยังมีลักษณะกลับภาพซ้าย-ขวา เพื่อให้การเปิดหนังสือเป็นไปตามแบบสากลนิยมคือเปิดจากขวามาซ้าย ซึ่งผิดกับต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นที่ตีพิมพ์สำหรับเปิดหน้ากระดาษจากซ้ายไปขวา ต่อมาได้มีการดัดแปลงเนื้อเรื่อง ผลิตเป็นโอวีเอโดยซันไรส์ และละครโทรทัศน์ออกอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นทางช่องฟูจิ ทีวี การ์ตูนเรื่องสิงห์ผจญเพลิง ได้รับรางวัลโชงะกุกัง มังงะ อวอร์ด ประเภทการ์ตูนโชเน็น ในปี พ.ศ. 2540 [1] เนื้อเรื่องอาซาฮินะ ไดโกะ ชายหนุ่มผู้ไล่ตามความฝันที่จะมีอาชีพเหมือนกับฮีโร่ในวัยเด็กของเขา ซึ่งช่วยเขาและหมาของเขา ออกจากกองเพลิง นั่นก็คือนักดับเพลิง ภายหลังเมื่อไดโกะเรียนจบ ม.ปลาย แรงบันดาลใจอันนั้นก็ได้ช่วยผลักดันเขาให้หันหลังกับชีวิตเรียนต่อในรั้วมหาวิทยาลัย หากแต่ก้าวเดินสู่เส้นทางชีวิตที่ใฝ่ฝัน และมันเริ่มต้นที่โรงเรียนนักดับเพลิง ในบรรดานักเรียนโรงเรียนดับเพลิง ต่างก็มีเด็กใหม่ไฟแรงอยู่มากมายหลายคน ที่นั่นเขาได้พบกับ อามาคาสึ ชิโร ซึ่งก็เข้าเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับไดโกะ พวกกลายเป็นทั้งคู่แข่ง และก็เพื่อนสนิทต่อกันในเวลาต่อมา ไดโกะเองตั้งใจเรียนและฝึกอย่างสุดความสามารถ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ใช้ร่างกายของเขาบรรเทาทุกข์ และหยิบยื่นโอกาสรอดให้กับผู้ประสบภัย เฉกเช่นเดียวกับที่เขาเคยได้รับเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก จนกระทั่งไดโกะเรียนจบจากโรงเรียนดับเพลิง ได้บรรจุเข้าเป็นนักดับเพลิงสังกัดหน่วย ม.หรือเมดากะฮามะ ซึ่งมีหัวหน้าโกมิเป็นผู้บังคับบัญชา โดยหน่วยนี้ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยดับเพลิงในเขตที่มีการเกิดเพลิงไหม้น้อยที่สุด ทว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ไดโกะต้องเผชิญกับนาทีวิกฤติที่ต้องอาศัยการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว และร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี อุบัติเหตุครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งในและนอกเวลางาน หลากสถานที่ หลากผู้คน แต่ในภาวะคับขัน ไดโกะก็ยังสามารถเอาตัวรอดและช่วยผู้ประสบภัยได้เสมอ ด้วยอาศัยสัญชาตญาณและสมรรถภาพทางร่างกายที่ได้รับการขัดเกลา แม้จะดูรั้น และแหกคอกอยู่ไม่น้อย แต่ไหวพริบของไดโกะก็ช่วยให้ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาได้หลายต่อหลายครั้ง หลังจากการออกปฏิบัติงานหลายหลายครั้ง ทำให้ไดโกะได้รู้จักหน่วยงาน เจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษ ซึ่งเหนือกว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงทั่วไปในทุกๆ ด้าน ทั้งทักษะ ความสามารถทางร่างกาย การตัดสินใจในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ความประทับใจที่ไดโกะมีต่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษ กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาตัดสินใจสมัครเข้าสอบบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีผู้สมัครเข้าสอบจำนวนมากในทุกๆปี แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จะได้สมหวัง ไดโกะจึงตั้งใจฝึกและศึกษาความรู้ต่างๆ อย่างเต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคัดเลือกเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษ แต่แล้วในคืนก่อนสอบ ก็มีเหตุให้ไดโกะต้องออกปฏิบัติงานดับไฟป่า เขาต้องพาผู้ประสบภัยวิ่งหนีวนหลบพายุเพลิงอันบ้าคลั่งอยู่ภายในป่าตลอดทั้งคืน เมื่อเช้าวันสอบมาถึงด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรยและอ่อนล้าจากการสู้กับไฟมาทั้งคืน ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่าไดโกะจะสามารถฝ่าด่านการทดสอบอันสุดโหดเพื่อเข้าเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษได้ แต่ท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องตะลึงและยอมรับกับพลังในตัวไดโกะ พลังที่มาจากจิตใจอันไม่ยอมแพ้ พลังที่มาจากสัญชาตญาณที่โหยหาการเอาชีวิตรอด และนั่นคือตอนที่ไดโกะได้สิทธิ์เข้าเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษ แม้ว่าไดโกะจะผ่านการคัดเลือกเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษมาได้ ทว่าใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต ในการปฏิบัติงานครั้งหนึ่งซึ่งเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้โดมใหญ่ ไดโกะได้ออกปฏิบัติหน้าที่ร่วมๆ กับเพื่อนแห่งหน่วย ม. และพบว่าเปลวเพลิงได้ลุกไหม้หนัก และปิดกั้นทางออกจากอาคารจนหมดสิ้น ทั้งยังมีกระแสไฟฟ้ารั่วเป็นอุปสรรคที่ขวางมิให้ใครไปถึงผู้ประสบภัยได้ ไดโกะจึงตัดสินใจใช้รถดับเพลิงพุ่งชนผนังอาคารเพื่อเปิดทางเข้าไปช่วยผู้ประสบภัย แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนั้นจะทำให้ช่วยผู้ประสบภัยได้ทั้งหมด แต่ก็มีการสืบสวนถึงการใช้รถดับเพลิงพุ่งเข้าชนอาคารระหว่างการปฏิบัติงานดังกล่าว ผลคือทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมรถโดนพักงาน ยังผลให้ไดโกะเศร้าซึมเป็นอย่างมากเพราะตระหนักว่าตนเป็นคนก่อเหตุ ท่ามกลางความสับสนว้าวุ่นภายในจิตใจ ไดโกะเกิดความรู้สึกลังเลที่จะไปจากหน่วย ม.ด้วยเหตุผลส่วนตัวเพราะไม่อาจทนทำงาน โดยที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดได้อีกต่อไป เขาได้แต่นับวันรอคำสั่งเรียกตัวไปสังกัดเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษ เมื่อได้สวมเสื้อส้ม เครื่องแบบอันน่าภูมิใจของหน่วยกู้ภัยพิเศษ ไดโกะก็พบว่าชีวิตในโรงเรียนหน่วยกู้ภัยพิเศษ แตกต่างจากการทำงานในหน่วยดับเพลิงโดยสิ้นเชิง สถานการณ์ใหม่ๆ ทักษะใหม่ๆ ผ่านเข้ามาและถูกซึมซับเข้าไปในทุกส่วนของไดโกะ ทั้งร่างกายและจิตใจต่างถูกทดสอบและใช้งานจนถึงขีดสุดของมนุษย์ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้คนอื่นได้อยู่รอดต่อไป ท่ามกลางเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยพิเศษคนอื่นๆ ซึ่งต่างก็เป็นมือดีจากทั่วประเทศที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาด้วยกันทั้งนั้น ไดโกะยังเปล่งประกายยอดนักกู้ภัยในหลายๆ เหตุการณ์ด้วยกัน และเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้กลับไปทำงานกับเพื่อนๆ หน่วย ม. อีกครั้ง ในการปฏิบัติงานหลายๆครั้ง ไดโกะต้องผ่านเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย จนครั้งหนึ่งหลังจากที่เขาพบกับประสบการณ์เฉียดตายภายในกองเพลิง มันก่อเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจเป็นอย่างยิ่ง จนถึงขั้นทำให้คิดลาออกจากงาน แต่ในที่สุด หัวหน้าโกมิ ก็ได้มอบพลังให้แก่เขา คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายอันยิ่งใหญ่ ช่วยให้เขาได้ฝ่าฟันอุปสรรคภายในจิตใจขึ้นไปได้อีกครั้ง เมื่อไดโกะกลับมามีกำลังใจในการทำงาน เหตุการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี เมื่อกรมดับเพลิงมีแผนขยายกำลังรับมืออุบัติภัย ซึ่งรวมถึงการซื้อเฮลิคอปเตอร์สำหรับดับเพลิงลำใหม่ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวหายไประหว่างทดสอบการบิน ทุกคนต่างอลหม่านกับการตามหาเฮลิคอปเตอร์ กระทั่งในท้ายที่สุดไดโกะก็เป็นผู้คนพบสิ่งที่ทุกคนตามหา และอีกครั้งหนึ่งที่ไดโกะจะต้องจำไปตลอด เมื่อประสาทสัมผัสพิเศษของเขาทำให้ทุกคนรู้ตัวถึงเปลวเพลิงลุกไหม้ใหญ่สนามบินริมน้ำ ซึ่งที่นั่น ไดโกะได้เสี่ยงภัยเข้าไปช่วยชีวิตฮีโร่ของเขา หัวหน้าโกมิ ผู้ที่ฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปช่วยไดโกะในเหตุการณ์ไฟไหม้ตอนเด็กๆ นั่นเอง แม้การวางระบบป้องกันอุบัติภัยจะได้ผลดีขึ้น แต่อัคคีภัย และอุบัติภัยก็ยังเกิดขึ้นได้เสมอ ทุกหนทุกแห่งในโลก ไดโกะช่วยคนมามากมาย แต่ทุกครั้งเค้าทำลงไปด้วยจิตใต้สำนึกเพื่อช่วยตนเองให้รอดทั้งนั้น ทว่าในเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของไดโกะอีกครั้งหนึ่ง อุบัติภัยไฟป่าในประเทศอินโดนีเซีย ณ ที่แห่งนั้น ไดโกะได้เปลี่ยนไป เมื่อเขาต้องทำทุกวิถีทาง ละทิ้งหน้าที่ประจำ ขโมยอุปกรณ์ดับเพลิงของสถานี หนีออกนอกประเทศ เพื่อเดินทางไปยังอินโดนีเซีย ทั้งหมดทั้งสิ้น เพื่อไปช่วย โอจิไอ ชิซูกะ คนรักของเขาที่ตกอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงแห่งเกาะสุมาตรานั่นเอง ตัวละคร
ภายหลังได้เป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษ
โอวีเอ"สิงห์ผจญเพลิง" ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์การ์ตูน โดยมีชื่อเรื่องเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า เมกุมิ โนะ ไดโกะ (め組の大吾) และชื่อภาษาอังกฤษคือ ไฟร์ไฟเตอร์ ไดโกะ (Fire Fighter Daigo) เป็นภาพยนตร์ความยาว 45 นาที ออกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โดยเนื้อหาในภาพยนตร์เล่าเรื่องตั้งแต่ไดโกะเพิ่งเข้าทำงานที่สถานีดับเพลิงหน่วยเมดากะฮามะ จนกระทั่งเหตุการณ์ขับรถดับเพลิงชนกำแพง
ละครโทรทัศน์สิงห์ผจญเพลิง ได้รับการดัดแปลงเนื้อเรื่องเพื่อทำละครโทรทัศน์ ใช้ชื่อเรื่องว่า ไฟร์บอยส์ (Fire Boys) ออกอากาศทางช่อง ฟูจิทีวี (Fuji TV) ออกอากาศทุกวันอังคารเวลา 21.00 น. ตั้งแต่ 6 มกราคม ถึง 16 มีนาคม พ.ศ. 2547 รวมทั้งสิ้น 11 ตอน ละครได้รับความนิยมจากผู้ชมคิดเป็นร้อยละ 12.1 โดยเพลงที่ใช้ในละครไฟร์บอยส์ มีชื่อว่า อะ โร้ด โฮม (A Road Home) ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ มิจิ ชิรุเบะ (Michi Shirube) ขับร้องและบรรเลงโดยวง ออเร้นจ์ เรนจ์ (Orange Range)
อ้างอิงแหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia