วังเจ้าเขมรวังเจ้าเขมร เป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระญาติวงศ์ และข้าราชบริพารของราชสำนักกัมพูชา ตั้งอยู่ติดถนนเจริญกรุง[1] ริมสะพานดำรงสถิต[2] ตำบลสามยอด จังหวัดพระนคร[3] (ปัจจุบันขึ้นกับแขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร) เพราะตามธรรมเนียมราชสำนักกัมพูชาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา พระมหากษัตริย์กัมพูชาทุกพระองค์ (ยกเว้นพระนางเจ้ามี) ทรงเข้ารับการศึกษาที่กรุงเทพมหานคร[4] และเป็นสถานที่ลี้ภัยทางการเมืองของเจ้านายกัมพูชาบางพระองค์[5] ประวัติเจ้านายของกัมพูชาเข้ามาพำนักในดินแดนสยามมีมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาแล้ว กระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีเจ้านายเขมรย้ายเข้ากรุงเทพมหานครหลังเกิดความขัดแย้งภายในราชสำนัก เจ้านายที่อพยพมาในคราวนั้นคือ สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ หรือนักองค์เอง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงชุบเลี้ยงนักองค์เอง ส่วนนักองค์อีและนักองค์เภา เข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท[6] และได้พระราชทานที่ดินสำหรับสร้างวังเจ้าเขมร ณ ตำบลคอกควาย หรือคอกกระบือ (ปัจจุบันคือแขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร) เมื่อราว พ.ศ. 2321[7] หรือ พ.ศ. 2325[8] ต่อมาโปรดให้รื้อพระตำหนักที่ตำบลคอกกระบือใน พ.ศ. 2335[9] ไปสร้างวังเจ้าเขมรขึ้นใหม่บริเวณปากคลองหลอดวัดราชนัดดาบนเกาะรัตนโกสินทร์ ตรงข้ามทางทิศใต้ของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2329[10] หลังสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ หรือนักองค์เอง และสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี หรือนักองค์จัน กลับไปครองกรุงกัมพูชา ก็พาครอบครัวบางพระองค์กลับไปด้วย แต่ก็ยังเสด็จกลับมาประทับที่กรุงเทพมหานครเพื่อทรงเยี่ยมพระญาติวงศ์ที่ยังรับราชการอยู่ในราชสำนักสยามเป็นระยะ[11] แม้สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณจะเสด็จกลับไปเสวยราชสมบัติที่กรุงกัมพูชาแล้ว แต่นักนางไชย ซึ่งเป็นพระชนนี ยังคงอาศัยอยู่ภายในวังเจ้าเขมรตราบจนสิ้นชีวิต[12] กษัตริย์กัมพูชายังส่งพระราชโอรสมาเล่าเรียนที่กรุงเทพมหานครตามพระราชธรรมเนียม เช่น พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ รวมทั้งพระองค์เจ้าวัตถา[4] พระมหากษัตริย์สยามเองก็ให้การอุปการะอย่างพระราชบุตรบุญธรรม[13] ภายในวังเจ้าเขมรจะมีครูสอนภาษาเขมรและไทย[3] แต่พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารที่เคยประทับในวังนี้ "...ตรัสแต่ภาษาไทย ถึงกล่าวกันว่าตรัสเขมรมิใคร่คล่อง"[14] ในเวลาต่อมาหลังกัมพูชาตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส วังเจ้าเขมรก็โรยราลง คงหลงเหลือเจ้านายเขมรอยู่ไม่มาก ในช่วง พ.ศ. 2401 เป็นต้นมา จำนวนเจ้านายเขมรชั้นสูงในวังเริ่มลดลงโดยลำดับ แล้วถูกแทนที่ด้วยเจ้านายเขมรระดับล่าง[12] หนึ่งในนั้นคือ พระอินทเบญญา (สะราคำ วัตถา) หรือนักสะราคำ พระนัดดาของพระองค์เจ้าวัตถา เป็นต้นสกุลวัตถา ซึ่งรับราชการอยู่ในประเทศไทยจนสิ้นชีวิต[15] ชุมชนชาวเขมรรอบวังเจ้าเขมรก็สูญหายไปพร้อมกับความเจริญของเมืองหลวง ทั้งการเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างถนน และอัคคีภัยที่ผลาญชุมชน ลูกหลานชาวเขมรได้กลืนกลายเป็นชาวไทยโดยสมบูรณ์ ชุมชนเขมรเก่าก็ถูกแทนที่ด้วยอาคารพาณิชย์ของชาวไทยเชื้อสายจีน[12] อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia