วงศ์เพียงพอน
วงศ์เพียงพอน หรือ วงศ์วีเซล (อังกฤษ: weasel family, mustelid)[3] เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Mustelidae (มาจากภาษาละตินคำว่า Mustela หมายถึง "เพียงพอน") ลักษณะโดยรวมของสัตว์ในวงศ์นี้ คือ มีหัวกลม ใบหูสั้นกลม ขาสั้นเตี้ย ลำตัวเพรียวยาว หางยาว มีขนที่อ่อนนุ่มและหนาทั้งตัวและหาง อุ้งเล็บตีนแหลมคม ในปากมีฟันที่แหลมคม มีฟันตัดเหมาะสมสำหรับการกินเนื้อ ซึ่งสามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน เป็นสัตว์ที่คล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียว และกินอาหารได้หลากหลายไม่เลือกทั้งพืชและสัตว์ หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพียงพอน จะล่ากระต่ายกินเป็นอาหาร ทั้งที่เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยทำการล่าเป็นฝูงและมุดเข้าไปลากดึงเอาถึงในโพรงจากลำตัวที่เพรียวยาว[4] ลักษณะเด่นคือประการ คือ ส่วนมากยกเว้นนากทะเล[5] จะมีต่อมกลิ่นใกล้กับรูทวาร ซึ่งผลิตสารเคมีที่เป็นของเหลวเหมือนน้ำมันสีเหลือง มีกลิ่นฉุนสำหรับใช้ประกาศอาณาเขตและใช้เป็นการประกาศทางเพศ และเมื่อปฏิสนธิแล้ว ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะยังไม่ฝังตัวเข้ากับผนังมดลูก แต่จะลอยอยู่อย่างนั้น ซึ่งอาจกินเวลานับ 10 เดือน จะฝังตัวเฉพาะเมื่อถึงฤดูกาลที่อาหารอุดมสมบูรณ์เท่านั้น ก่อนที่จะพัฒนาต่อมาเป็นตัวอ่อนและพัฒนาต่อมาจนกระทั่งคลอดออกมาในฤดูที่อาหารอุดมสมบูรณ์ อุณหภูมิอากาศพอเหมาะแก่ลูกอ่อนที่เกิดขึ้นมา ซึ่งตัวแม่จะออกลูกและเลี้ยงดูลูกไว้ในโพรงดินหรือโพรงไม้ ลูกอ่อนจะยังไม่ลืมตา และมีขนบาง ๆ ปกคลุมตัวเท่านั้น จนกระทั่งอายุได้ราว 2-3 เดือน จึงจะเริ่มหย่านม และออกมาใช้ชีวิตเองตามลำพังเมื่ออายุได้ราว 1 ปี[6] พบกระจายพันธุ์ไปในหลายพื้นที่รอบโลก ทั้งในป่าทึบ, ที่ราบสูง, พื้นที่ชุ่มน้ำ, ชายฝั่งทะเล ตลอดจนชุมชนเมืองของมนุษย์ จนกระทั่งหลายชนิดเป็นสัตว์รังควานสร้างความเสียหายให้แก่มนุษย์[7] การจำแนกแบ่งออกได้เป็น 57 ชนิด ใน 22 สกุล[3] ![]()
สำหรับในประเทศไทยพบทั้งหมด 10 ชนิด คือ นากเล็กเล็บสั้น, นากยุโรป, นากจมูกขน, นากใหญ่ขนเรียบ, หมูหริ่ง, หมาไม้, หมาหริ่งพม่า, เพียงพอนเหลือง, เพียงพอนไซบีเรีย และเพียงพอนเส้นหลังขาว[8] ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองทั้งหมด[9] สูญพันธุ์มีหลายสกุลที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ความผูกพันกับมนุษย์![]() สัตว์ในวงศ์เพียงพอนมีความผูกพันกับมนุษย์อย่างมาก ตั้งแต่อดีตด้วยการไล่ล่าเอาหนังและขนมาทำเป็นเสื้อขนสัตว์ เช่น มิงค์, นาก, เพียงพอน, เออร์มิน หรือหมาไม้ แต่ด้วยความที่เป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก ดังนั้นการทำเสื้อขนสัตว์หนึ่งตัว ต้องใช้จำนวนมิงค์หรือนากถึง 40 ตัว จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1975 กองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ยกเลิกการค้าหนังนาก ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้นากได้รับความคุ้มครอง แต่กระนั้นในบางพื้นที่ก็ยังคงมีการลักลอบกันอยู่จนถึงปัจจุบัน[10][11] ในบางจำพวกอย่าง หมาไม้ หรือเพียงพอน เป็นสัตว์รังควานในพื้นที่ยุโรปและอเมริกาเหนือ ที่สร้างความเสียหายให้แก่เครื่องเรือนและเครื่องยนต์ของรถในบ้านเรือน ด้วยการที่เป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี[12][13][14] แต่จากการที่เป็นสัตว์กินเนื้อ และชอบล่าสัตว์เล็ก ๆ เช่น หนู หรือกระต่าย ทำให้มีการใช้เฟอเรทสำหรับล่าหนูที่สร้างความเสียหายแก่พื้นที่ทางการเกษตรในบางพื้นที่ เช่น สหรัฐอเมริกา สำหรับในประเทศไทย ของเหลวคล้ายน้ำมันกลิ่นฉุนจากต่อมใกล้ทวารของหมูหริ่ง หรือ หมาหริ่งใช้ทำยาในการแพทย์แผนไทยได้ด้วย[15] ที่นิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ เป็นที่ ๆ มีสิ่งมีชีวิตถิ่นเดียวอยู่อย่างหลากหลาย โดยที่ไม่มีสัตว์ผู้ล่าอยู่เลย แต่ทว่าเมื่อชาวตะวันตกเข้าไปบุกเบิก เออร์มิน หรือสโทธก็ได้ติดเข้าไปด้วย และกลายมาเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานการขยายพันธุ์ของนกที่บินไม่ได้หลายชนิดที่นั่น เช่น นกกีวี ทำให้อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ในปัจจุบัน[16] ที่เวียดนามมีการให้เพียงพอนกินเมล็ดกาแฟ แล้วให้เอนไซม์ในกระบวนการย่อยของเพียงพอนถ่ายมูลออกมา เพื่อเก็บขายในราคาที่สูงมาก เรียกว่า "กาแฟขี้เพียงพอน" เช่นเดียวกับกาแฟขี้ชะมด ที่ได้จากอีเห็น[17] อีกทั้งยังมีการนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง โดยการศึกษาทางดีเอ็นเอพบว่ามีการเลี้ยงเฟอเรทเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์มานานกว่า 2,500 ปีมาแล้ว และมีเฟอเรทปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์โลกมาตั้งแต่อดีต เช่น เป็นสัตว์เลี้ยงของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ และปรากฏในภาพวาดของลีโอนาร์โด ดา วินชี ที่ชื่อ "สตรีกับเออร์มิน" (Lady with an Ermine) เป็นต้น [18] See alsoอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia