ราชวงศ์อุมัยยะฮ์
ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (อาหรับ: بَنُو أُمَيَّةَ, อักษรโรมัน: Banū Umayya) หรือ อัลอุมะวียูน (อาหรับ: الأمويون, อักษรโรมัน: al-Umawiyyūn) เป็นตระกูลผู้ปกครองรัฐเคาะลีฟะฮ์ในช่วง ค.ศ. 661 ถึง 750 และภายหลังในอัลอันดะลุสในช่วง ค.ศ. 756 ถึง 1031 ในสมัยก่อนอิสลาม ตระกูลนี้ถือเป็นตระกูลเด่นของเผ่ากุร็อยช์แห่งมักกะฮ์ ซึ่งสืบเชื้อสายจากอุมัยยะฮ์ อิบน์ อับด์ชัมส์ แม้ว่าในช่วงแรกจะต่อต้านศาสดามุฮัมมัดอย่างมาก แต่ภายหลังหันมาเข้ารับอิสลามก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตใน ค.ศ. 632 อุษมาน ผู้ติดตามช่วงแรกของมุฮัมมัดจากตระกูลอุมัยยะฮ์ เป็นเคาะลีฟะฮ์รอชิดีนองค์ที่ 3 ซึ่งครองราชย์ใน ค.ศ. 644–656 ในขณะที่สมาชิกอื่น ๆ ในตระกูลดำรงตำแหน่งผู้ว่าการหลายตำแหน่ง หนึ่งในนั้นคือมุอาวิยะฮ์ที่ 1 แห่งซีเรีย ผู้มีความเห็นต่างในบางเรื่องกับเคาะลีฟะฮ์อะลีในสงครามกลางเมืองมุสลิมครั้งที่หนึ่ง (656–661) และหลังจากนั้นได้จัดตั้งรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ โดยมีดามัสกัสเป็นเมืองหลวง นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ราชวงศ์แบบสืบสันตติวงศ์ราชวงศ์แรกในประวัติศาสตร์อิสลาม และเป็นราชวงศ์เดียวที่ปกครองโลกอิสลามทั้งหมดในเวลานั้น มีการท้าทายอำนาจราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในสงครามกลางเมืองมุสลิมครั้งที่สอง ซึ่งจบลงที่สายซุฟยานถูกแทนที่โดยมัรวานที่ 1 ผู้ก่อตั้งสายมัรวานใน ค.ศ. 684 ซึ่งฟื้นฟูการปกครองของราชวงศ์ต่อ ฝ่ายอุมัยยะฮ์นำทางสู่การพิชิตดินแดนโดยมุสลิม โดยพิชิตแอฟริกาเหนือ, ฮิสเปเนีย, เอเชียกลาง และแคว้นสินธ์ แต่การทำสงครามอย่างต่อเนื่องทำให้ทรัพยากรทางทหารของรัฐหมดไป ในขณะที่การก่อกบฏของตระกูลอะลีกับเคาะวาริจญ์และการชิงดีชิงเด่นระหว่างชนเผ่าทำให้รัฐอ่อนแอจากภายใน ท้ายที่สุด ใน ค.ศ. 750 ฝ่ายอับบาซียะฮ์โค่นล้มเคาะลีฟะฮ์มัรวานที่ 2 และสังหารเชื้อพระองค์ส่วนใหญ่ โดยอับดุรเราะห์มาน หนึ่งในผู้รอดชีวิต ผู้มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาในเคาะลีฟะฮ์ ฮิชาม อิบน์ อับดุลมะลิก อพยพหนีไปยังสเปนของมุสลิม โดยพระองค์จัดตั้งเอมิเรตแห่งกอร์โดบา ซึ่งภายหลังอับดุรเราะห์มานที่ 3 ยกสถานะเป็นรัฐเคาะลีฟะฮ์ใน ค.ศ. 929 หลังผ่านยุคทองในช่วงสั้น ๆ รัฐเคาะลีฟะฮ์กุรฏุบะจึงแตกออกเป็นอาณาจักร ฏออิฟะฮ์ อิสระหลายอาณาจักรใน ค.ศ. 1031 ทำให้อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์สิ้นสุดลง ประวัติต้นกำเนิดก่อนอิสลามตระกูลอุมัยยะฮ์ หรือบะนูอุมัยยะฮ์ เป็นตระกูลของของเผ่ากุร็อยช์ที่ปกครองมักกะฮ์ในสมัยก่อนอิสลาม[1] เผ่ากุร็อยช์ได้รับเกียรติในกลุ่มชนเผ่าอาหรับผ่านการคุ้มครองและการบำรุงรักษากะอ์บะฮ์ ณ เวลานั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอาหรับที่มีความเชื่อแบบพหุเทวนิยมส่วนใหญ่ทั่วคาบสมุทรอาหรับ[1] อับด์มะนาฟ อิบน์ กุศ็อย ผู้นำกุร็อยช์ที่น่าจะมีชีวิตในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5 (ตามบันทึกในธรรมเนียมลำดับวงศ์ตระกูล) ทำหน้าที่บำรุงรักษาและป้องกันกะอ์บะฮ์กับผู้แสวงบุญ[2] ภายหลังมีการยกสถานะนี้ให้กับอับด์ชัมส์, ฮาชิม และคนอื่น ๆ[2] อับด์ชัมส์เป็นบิดาของอุมัยยะฮ์ บรรพบุรุษของตระกูลอุมัยยะฮ์[3] อุมัยยะฮ์สืบทอดตำแหน่งกออิด (ผู้บัญชาการในช่วงสงคราม) แห่งมักกะฮ์ต่อจากอับด์ชัมส์[4] ตำแหน่งนี้น่าจะเป็นตำแหน่งทางการเมืองเป็นครั้งคราว โดยผู้ถือครองทำหน้าที่คุมทิศทางกิจการทางทหารของมักกะฮ์ในยามสงคราม แทนที่จะเป็นกองบัญชาการภาคสนามจริง ๆ[4] ประสบการณ์ในการเป็นผู้นำทางทหารในช่วงต้นนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นประโยชน์ เนื่องจากตระกูลอุมัยยะฮ์ภายหลังเป็นที่รู้จักจากการมีทักษะในการจัดองค์กรทางการเมืองและการทหารอย่างมาก[4] Giorgio Levi Della Vida นักประวัติศาสตร์ กล่าวแนะว่าข้อมูลภาษาอาหรับยุคแรกเกี่ยวกับอุมัยยะฮ์ กับบรรพบุรุษสมัยโบราณของชนเผ่าอาหรับ "ได้รับการยอมรับด้วยความระมัดระวัง"[3] เขายืนยันว่า เนื่องจากตระกูลอุมัยยะฮ์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์อิสลามเมื่อช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 เป็นลูกหลานของอุมัยยะฮ์ไม่เกิน 3 รุ่น ทำให้การมีตัวตนของลูกหลานมีความเป็นไปได้สูง[3] เมื่อประมาณ ค.ศ. 600 เผ่ากุร็อยช์ได้พัฒนาเครือข่ายการค้าข้ามคาบสมุทรอาหรับ โดยจัดคาราวาทไปทางเหนือที่ซีเรีย และทางใต้ที่เยเมน[1] บะนูอุมัยยะฮ์กับบะนูมัคซูม ตระกูลสำคัญของกุร็อยช์อีกตระกูล เป็นผู้กุมเครือข่ายการค้านี้ ทั้งสองคระกูลำด้พัฒนาพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการทหารกับชนเผ่าอาหรับร่อนเร่ที่ควบคุมทะเลทรายอาหรับที่กว้างใหญ่ทางเหนือและตอนกลาง ทำให้พวกเขามีอำนาจทางการเมืองในอาระเบีย[5] ต่อต้านและเข้ารับอิสลามเมื่อศาสดามุฮัมมัดจากบะนูฮาชิมเริ่มเผยแผ่ศาสนาในมักกะฮ์ สมาชิกเผ่ากุร็อยช์ส่วนใหญ่ปฏิเสธท่าน[6][7] ท่านได้รับการสนับสนุนจากผู้อยู่อาศัยในมะดีนะฮ์ และย้ายไปที่นั่นกับผู้ติดตามใน ค.ศ. 622[8] ลูกหลานของอับด์ชัมส์ (รวมตระกูลอุมัยยะฮ์) อยู่ในกลุ่มผู้นำหลักของฝ่ายกุร็อยช์ที่ต่อต้านมุฮัมมัด[9] ตระกูลอุมัยยะฮ์เข้ามาแทนที่บะนูมัคซูมที่นำโดยอะบูญะฮัล ซึ่งเป็นผลจากการสูญเสียอย่างหนักจากการสู้รบในยุทธการที่บะดัรที่นำโดยผู้นำของบะนูมัคซูมต่อชาวมุสลิมใน ค.ศ. 624[10] ภายหลัง อะบูซุฟยาน หัวหน้าตระกูลอุมัยยะฮ์ กลายเป็นผู้นำกองทัพมักกะฮ์ที่สู้รบต่อมุสลิมภายใต้การบัญชาของมุฮัมมัดที่อุฮุดกับสนามเพลาะ[9] หลังการพิชิตมักกะฮ์ของมุสลิม อะบูซุฟยานกับบรรดาลูกชาย และสมาชิกตระกูลอุมัยยะฮ์ส่วนใหญ่ หันมาเข้ารับอิสลามในช่วงปลายชีวิตขิงมุฮัมมัด[9]เพื่อรักษาความจงรักภักดีของผู้นำอุมัยยะฮ์ที่มีชื่อเสียง (รวมถึงอะบูซุฟยาน) มุฮัมมัดมอบของขวัญและตำแหน่งสำคัญในรัฐมุสลิมที่เพิ่งเกิดใหม่แก่พวกเขา[9] ท่านแต่งตั้งให้อัตตาบ อิบน์ อะซีด สมาชิกตระกูลอุมัยยะฮ์อีกคน เป็นผู้ว่าการมักกะฮ์คนแรก[11] ถึงแม้ว่ามักกะฮ์จะรักษาความยิ่งใหญ่ในฐานะศูนย์กลางทางศาสนา แต่มะดีนะฮ์ยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางการเมืองของมุสลิม อะบูซุฟยานกับบะนูอุมัยยะฮ์ย้ายไปยังมะดีนะฮ์เพื่อรักษาอิทธิพลทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นของพวกเขา[12] รายพระนามผู้ปกครองเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ฐานซีเรีย
เอมีร์และเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์แห่งกอร์โดบาตารางพงศาวลี
ดูเพิ่มอ้างอิง
ข้อมูล
|
Portal di Ensiklopedia Dunia