รัฐธรรมนูญเมจิรัฐธรรมนูญแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น (คีวจิไต: 大日本帝國憲法; ชินจิไต: 大日本帝国憲法, ทับศัพท์: Dai-Nippon Teikoku Kenpō) มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า รัฐธรรมนูญเมจิ (明治憲法, Meiji Kenpō) เป็นรัฐธรรมนูญของจักรวรรดิญี่ปุ่น ประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1889 และใช้บังคับตั้งแต่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1890 จนถึง 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1947[1] รัฐธรรมนูญนี้ตราขึ้นหลังจากการฟื้นฟูเมจิเมื่อ ค.ศ. 1868 และบัญญัติให้มีรูปแบบการปกครองที่ประสมระหว่างสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยใช้ระบอบของปรัสเซียกับบริติชเป็นต้นแบบด้วยกัน[2] ตามรัฐธรรมนูญนี้ ในทางทฤษฎีแล้ว จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงเป็นผู้นำสูงสุด และคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีหัวหน้า คือ นายกรัฐมนตรีที่องคมนตรีเลือกมานั้น เป็นผู้รับสนองพระบัญชาอีกที แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จักรพรรดิทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าที่แท้จริงของรัฐบาล นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ก็ไม่จำต้องมาจากการเลือกขององคมนตรีเสมอไป วันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1946 มีการชำระรัฐธรรมนูญนี้ทั้งฉบับตามวิธีการปรกติที่กำหนดไว้สำหรับแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จนทำให้รัฐธรรมนูญนี้กลายเป็นรัฐธรรมนูญฉบับหลังสงคราม ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1947 เป็นต้นมา โครงสร้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มี 76 มาตรา แบ่งเป็นเจ็ดหมวด โดยรวมแล้วประกอบด้วยถ้อยคำประมาณ 2,500 คำ รัฐธรรมนูญนี้มักเผยแพร่พร้อมกับคำปรารภ พระราชปฏิญญาที่ทรงกระทำในพระราชวังหลวง และพระราชหัตถเลขาประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งรวมแล้วจะทำให้มีคำเพิ่มขึ้นอีก 1,000 คำ[3] หมวดทั้งเจ็ด คือ
บทบัญญัติหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์ โดยให้เหตุผลว่า ทรงสืบเชื้อสายสวรรค์อย่างไม่ขาดตอนมาชั่วกาลนาน ซึ่งต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่อิงหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เนื่องจากเป็นการนำระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (กษัตริย์มีอำนาจสมบูรณ์) กับระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (กษัตริย์ถูกจำกัดอำนาจด้วยรัฐธรรมนูญ) มาประสมกัน จึงมีบางบทบัญญัติที่ขัดแย้งกันเองในประเด็นจักรพรรดิหรือรัฐธรรมนูญกันแน่ที่มีอำนาจสูงสุด มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญนี้บัญญัติว่า จักรพรรดิทรงเป็นประมุขของจักรวรรดิ สิทธิต่าง ๆ ในความเป็นอธิปไตยประมวลอยู่ในพระองค์ทั้งสิ้น อำนาจที่แบ่งเป็นสามฝ่าย คือ บริหาร, นิติบัญญัติ, ตุลาการ นั้นรวมอยู่ที่พระองค์ อย่างน้อยก็ในทางนิตินัย แต่มาตรา 5 และ 64 ระบุว่า กฎหมายและงบประมาณต้องได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย นอกจากนี้ บางกิจการก็จะต้องกระทำในพระนามาภิไธย เช่น การออกกฎหมาย และการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี มาตรา 3 ว่า จักรพรรดิทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ซึ่งกลุ่มนิยมเจ้าแบบสุดโต่งตีความว่า หมายถึง จักรพรรดิมีพระราชอำนาจจะยกเลิกรัฐธรรมนูญหรืองดใช้บทบัญญัติบางบทก็ได้ มาตรา 11 ว่า จักรพรรดิทรงบัญชาทหารบกและทหารเรือทั้งปวง ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกและทหารเรือตีความว่า หมายถึง ทหารทั้งปวงจะเชื่อฟังแต่พระราชโองการเท่านั้น ไม่จำต้องเชื่อฟังคณะรัฐมนตรีหรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มาตรา 55 ว่า พระราชโองการไม่มีผลเป็นกฎหมายอยู่ในตัว เว้นแต่มีรัฐมนตรีลงชื่อรับสนอง อย่างไรก็ดี จักรพรรดิมีพระราชอำนาจที่จะแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัย สิทธิและหน้าที่ของพสกนิกรรัฐธรรมนูญระบุว่า พสกนิกรญี่ปุ่น (Japanese subject) มีหน้าที่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ (คำปรารภ), เสียภาษี (มาตรา 21), และเป็นทหารเมื่อถูกเกณฑ์ (มาตรา 20) รัฐธรรมนูญให้พสกนิกรบางกลุ่มมีสิทธิและเสรีภาพบางประการดังต่อไปนี้ เว้นแต่กฎหมายกำหนดไว้เป็นอื่น
องค์กรของรัฐบาลรัฐธรรมนูญให้จักรพรรดิมีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการ ประกาศสงคราม ทำสัญญาสันติภาพ ทำสนธิสัญญา ยุบสภาล่างของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และออกพระราชกำหนดในกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติอยู่นอกสมัยประชุม ที่สำคัญ คือ มีพระราชอำนาจบัญชาทั้งทัพบกทัพเรือโดยตรง รัฐธรรมนูญยังกำหนดว่า คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยรัฐธรรมนูญที่ต้องขึ้นตรงต่อจักรพรรดิ มิใช่ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และยังกำหนดให้มีคณะองคมนตรี ส่วนองค์กรที่ไม่ได้กำหนดในรัฐธรรมนูญ คือ เก็นโร (元老) ซึ่งประกอบด้วยคนวงในที่คอยถวายคำปรึกษาต่อจักรพรรดิ เป็นองค์กรที่ทรงอิทธิพลมาก รัฐธรรมนูญนี้ให้สภานิติบัญญัติประกอบด้วยสภาย่อยสองสภา คือ สภาสูง เรียกว่า "คิโซกุอิง" (貴族院; "สภาขุนนาง") ประกอบด้วย สมาชิกราชวงศ์ ขุนนาง และบุคคลอื่น ๆ ที่ทรงแต่งตั้ง กับสภาล่าง เรียกว่า "ชูงิอิง" (衆議院; "สภาปรึกษาทั่วไป") ประกอบด้วย บุคคลที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนที่เป็นชาย ชายคนไหนมีสิทธิเลือกตั้งเท่าไร ขึ้นอยู่กับว่า เสียภาษีมากน้อยเท่าไร คุณสมบัตินี้ผ่อนคลายลงใน ค.ศ. 1900 และ 1919 กระทั่ง ค.ศ. 1925 ที่เริ่มกำหนดให้ชายทุกคนมีสิทธิเสมอหน้ากันในการเลือกตั้ง[4] อำนาจนิติบัญญัติเป็นของสภานิติบัญญัติและจักรพรรดิ สภาและจักรพรรดิต้องเห็นชอบด้วยกันในการตรากฎหมาย แต่สภามีอำนาจร่างกฎหมาย รวมถึงพิจารณาและให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายและงบประมาณ การแก้ไขเพิ่มเติมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้มีกำหนดไว้ในมาตรา 73 ว่า ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจะเป็นกฎหมายได้ ต้องมาจากการเสนอของจักรพรรดิโดยการมีพระราชโองการหรือพระราชหัตถเลขาไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาทั้งสองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วยคะแนนะเสียงไม่ต่ำกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของแต่ละสภา จึงจะถือว่า ได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเมื่อได้รับความเห็นชอบดังกล่าวแล้ว จักรพรรดิจะทรงตราร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นกฎหมาย แต่มีพระราชอำนาจเต็มที่ที่จะยับยั้งร่างนั้นได้ นอกจากนี้ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้ในช่วงที่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ไม่ว่าบทบัญญัติเหล่านี้จะว่าไว้ประการใด ก็ไม่เคยมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเลยนับแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นต้นมาจนสิ้นอำนาจลงไปใน ค.ศ. 1947 เมื่อจะยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้น มีการทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม แต่ตามมาตรา 73 ดังกล่าว ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจะต้องมาจากจักรพรรดิ จึงมีการขอพระราชานุมัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็พระราชทานให้ดังทรงแถลงไว้ในพระราชหัตถเลขาประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แต่คำปรารภระบุว่า มาจากการอนุมัติของปวงชนในชาติแทน เพื่อให้เป็นไปตามหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน อ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ รัฐธรรมนูญเมจิ วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
|
Portal di Ensiklopedia Dunia