ยุทธการดับจอมอหังการ์อินทรีเหล็ก
ยุทธการดับจอมอหังการ์อินทรีเหล็ก (อังกฤษ: Valkyrie) เป็นภาพยนตร์อเมริกันในปี ค.ศ. 2008 นำแสดงโดย ทอม ครูซ, เคนเนธ บรานาห์, บิล ไนอี, เอ็ดดี อิซซาร์ด, เทเรนซ์ สแตมพ์, ทอม วิลคินสัน กำกับการแสดงโดย ไบรอัน ซิงเกอร์ เนื้อเรื่องในสงครามโลกครั้งที่สอง พันโทเคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค ตั้งคำถามกับตนเองว่าสิ่งที่ตนและพรรคนาซีกระทำไปนั้นถูกแล้วหรือ ชเตาเฟินแบร์คได้รับบาดเจ็บจนพิการในการทัพตูนิเซีย ตาข้างซ้ายบอดสนิท แขนขวาขาด แขนซ้ายเหลือใช้งานได้เพียงสามนิ้ว จึงถูกย้ายไปทำงานเอกสารที่เบอร์ลิน ขณะเดียวกันที่เบอร์ลิน ในปีค.ศ. 1942 เป็นต้นมา สถานการณ์ในแนวรบด้านตะวันตกเริ่มบ่งชี้แล้วว่า ไรช์เยอรมันภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จะพ่ายแพ้แก่สัมพันธมิตรอย่างแน่นอน นายทหารเยอรมันกลุ่มหนึ่งทั้งประจำการและนอกประจำการ และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามฮิตเลอร์ โดยการนำของ ผู้พันเฮนนิง ฟอน เทรสคอว์ และพลเอกฟรีดริช ออลบริชท์ รองผู้บัญชาการหน่วยกำลังสำรองที่เบอร์ลิน ได้ตกลงที่จะปฏิบัติลับ ๆ คือลอบสังหารฮิตเลอร์ แล้วเปิดการเจรจาสันติกับสัมพันธมิตร แต่ทว่าก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงตัวฮิตเลอร์ได้สักที เมื่อเทรสคอว์ได้พบกับชเตาเฟินแบร์ค ชเตาเฟินแบร์คแสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่าต้องสังหารฮิตเลอร์เท่านั้น จึงจะหยุดสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ได้ โดยชเตาเฟินแบร์คจะเป็นผู้ลงมือเอง ที่สุด ในที่ประชุมตกลงกันว่า จะใช้แผน "วัลคือเรอ" ใช้ในการครั้งนี้ ซึ่งแผนวัลคือเรอเป็นแผนปฏิบัติการที่ใช้รองรับสถานการณ์เมื่อเกิดการจลาจลหรือรัฐประหารขึ้นที่เบอร์ลิน อันเป็นฐานอำนาจทั้งหมดของฮิตเลอร์และนาซี โดยชเตาเฟินแบร์ค อยู่ในตำแหน่งที่จะเข้าถึงตัวฮิตเลอร์ได้ และจะเป็นผู้นำแผนนี้ไปให้ฮิตเลอร์อนุมัติ ซึ่งพลเอกออลบริชท์จะเป็นผู้ปรับเปลี่ยนแผนเอง แต่ทว่าแผนนี้จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยการสั่งการใช้กำลังทหารของ พลเอกอาวุโสฟรีดริช ฟรอมม์ ผู้บัญชาการกองกำลังสำรองเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดไม่แน่ใจว่าฟรอมม์จะยืนอยู่ข้างไหน เมื่อทุกอย่างพร้อม ในวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944]ที่รังหมาป่า ฐานบัญชาการลับที่ปรัสเซียตะวันออก ชเตาเฟินแบร์คพร้อมด้วยนายทหารติดตามได้เข้าไปประชุมการวางแผนการรบที่นั่น เป็นโอกาสเดียวที่จะลอบสังหารฮิตเลอร์ได้ แม้การสื่อสารจะถูกตัดและระเบิดพลาสติกจะระเบิดตามแผนในเวลาเที่ยง และชเตาเฟินแบร์คสามารถเล็ดรอดกลับมายังเบอร์ลินได้ แต่ว่าที่เบอร์ลิน ปฏิบัติการวัลคือเรอก็ยังไม่เกิดขึ้นเพราะไม่แน่ใจว่าฮิตเลอร์เสียชีวิตแล้วหรือยัง ออลบริชท์ได้เพียงแต่สั่งให้กองกำลังสำรองจัดแถวเตรียมพร้อมรับคำสั่งเท่านั้น ท่ามกลางความสงสัยของกองกำลังทั้งหมด ปฏิบัติการจึงเริ่มอย่างฉุกละหุกในเวลาบ่าย โดยควบคุมตัวสมาชิกพรรคนาซีคนสำคัญ ๆ เช่น โยเซฟ เกิบเบลส์ และผู้บัญชาการตำรวจเบอร์ลินก็ยอมตาม แผนทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นไปได้อย่างดี ฟรอมม์ก็ถูกควบคุมตัว ออลบริชท์ได้เข้าคุมเบอร์ลิน แต่ว่าในเวลาพลบค่ำ เมื่อปรากฏชัดเจนแล้วว่า ฮิตเลอร์ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดก็เริ่มขัดขืนและต่อต้าน ทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่สำเร็จ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดจบลงที่การประหารชีวิตหรือฆ่าตัวตาย รวมทั้งฟรอมม์ด้วย แม้กระทั่งจะพยายามกลับตัวมาต่อต้านเพื่อหวังจะให้ตนพ้นโทษ แต่ก็ไม่รอดเนื่องจากไม่สามารถหยุดยั้งการปฏิบัติการครั้งนี้ให้เกิดขึ้นได้ ตัวละคร
เบื้องหลังและคำวิจารณ์Valkyrie เป็นภาพยนตร์แนวประวัติศาสตร์ตื่นเต้นเร้าใจ ที่มีเนื้อเรื่องในไรช์ที่สามในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เกี่ยวกับแผนลับ 20 กรกฎาคม โดยนายทหารจำนวนหนึ่งที่ลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โดยใช้ปฏิบัติการวัลคือเรอในวาระฉุกเฉินเพื่อควบคุมประเทศ ภายใต้การกำกับของ ไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์หนุ่มที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วจากภาพยนตร์หลายเรื่องก่อนหน้านั้น เช่น The Usual Suspects ในปี ค.ศ. 1996 และ X-Men ในปี ค.ศ. 2000 ซึ่งซิงเกอร์เปิดเผยว่า ตนมีความตั้งใจที่จะผลิตภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองหรือนาซีเยอรมันอยู่แล้ว โดยจะเห็นได้จากฉากเปิดเรื่องในเรื่อง X-Men เป็นต้น[2] นำแสดงโดย ทอม ครูซ นักแสดงชาวอเมริกัน มารับบท พันเอกเคลาส์ ฟอน ชเตาเฟินแบร์ค ผู้เป็นแกนหลักในปฏิบัติการครั้งนี้และเป็นตัวเอกในเรื่อง ซึ่งหน้าตาของครูซเมื่อหันด้านข้างคล้ายกับชเตาเฟินแบร์คเป็นอย่างมาก[3] พร้อมด้วยนักแสดงระดับคุณภาพมากมาย ทั้ง เคนเนธ บรานาห์, เทอร์เรนซ์ แสตมป์, บิล ไนอี, ทอม วิลคินสัน และ เอ็ดดี้ อิซซาร์ แต่การที่ครูซมารับบทบาทแสดงในเรื่องนี้ทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้นกับนักการเมืองเยอรมันและครอบครัวของชเตาเฟินแบร์ค เพราะด้วยความเชื่อของครูซที่เชื่อในลัทธิไซแอนโทโลจีซึ่งเป็นข้อคลางแคลงใจกับชาวเยอรมัน หนังสือพิมพ์และผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างสนับสนุนภาพยนตร์โดยให้ความรู้เกี่ยวกับแผนของชเตาเฟินแบร์ค การทำภาพยนตร์ในช่วงแรกค่อนข้างไปเป็นได้ด้วยความยากลำบากเนื่องจากสถานที่ถ่ายทำในเยอรมนีเนื่องจากเกิดข้อพิพาท แต่ต่อมาก็ดำเนินการได้เนื่องจากสถานที่ถ่ายทำมีความเหมาะสมกับตัวเนื้อเรื่อง อย่างเช่นที่ อาคารเบนเดลอร์บล็อก อันเป็นฐานบัญชาการจริงของปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งการออกแบบฉากและเครื่องแต่งกายทำได้เหมือนจริงมาก แม้กระทั่งหญิงชราชาวเยอรมันผู้หนึ่งผ่านมาพบเห็นเข้า ถึงกับอุทานและเอ่ยว่า เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปช่วงนั้นอีกครั้ง ซึ่งเธอผู้นี้ได้อาศัยอยู่ที่เบอร์ลินในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจริง ๆ [2][4] ภาพยนตร์เลื่อนฉายอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่ช่วงต้นคือ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2008 ไปเป็น 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 การเปลี่ยนตารางเวลาและการตอบรับไม่ดีในการทำตลาด เป็นสิ่งประเมินผลงานความอยู่รอดของบริษัทผู้สร้าง หลังจากการฉายรอบทดสอบได้รับเสียงบวก ภาพยนตร์ก็ออกฉายในอเมริกาเหนือ เปลี่ยนไปเป็นวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 2008 โดย ยูไนเต็ด อาร์ติสต์ ได้ทำแผนการตลาดใหม่โดยลดการเน้นภาพลักษณ์ของครูซลงและชูผลงานของผู้กำกับขึ้นแทน ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งบวกและลบ คละกันไปในสหรัฐอเมริกา เปิดตัวในเยอรมนีเมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2009 ได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งบวกและลบจากชาวเยอรมัน จนถึงวันนี้ภาพยนตร์ทำรายได้ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก[1] ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |
Portal di Ensiklopedia Dunia