ยืมใช้คงรูป
ยืมใช้คงรูป (อังกฤษ: loan for use หรือ commodate; ฝรั่งเศส: prêt à usage หรือ commodat) เป็นสัญญายืม (อังกฤษ: loan) ประเภทหนึ่ง ที่บุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียก "ผู้ให้ยืม" (อังกฤษ: lender) ให้บุคคลอีกฝ่าย เรียก "ผู้ยืม" (อังกฤษ: borrower) ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว[1] ยืมใช้คงรูปเป็นหนึ่งในสองประเภทของสัญญายืม คู่กับ "ยืมใช้สิ้นเปลือง" (อังกฤษ: loan for consumption) การยืมทั้งหลายเหล่านี้ นับเป็นพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่เคยยืมหรือถูกยืม ไม่ว่าจะเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ดินสอ ปากกา ยางลบ ไปจนถึงของสำคัญต่าง ๆ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง ทั้งนี้ เหตุผลหนึ่งก็เนื่องจากสมาชิกในสังคมมิได้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน กับทั้งความจำเป็นหลาย ๆ ด้าน อาทิ ในการประกอบธุรกิจที่ต้องการทุนสูงหรือทุนหมุนเวียน และอาจรวมถึงกิเลสตัณหาอยากได้อยากมีจนเกิดสำนวนไทยว่า "กู้หนี้ยืมสิน" การยืมจึงก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ให้ยืมกับผู้ยืม ซึ่งบางทีนำไปสู่ความวิวาทบาดทะเลาะในสังคม ดังนั้น เพื่อความสงบเรียบร้อยของส่วนรวม กฎหมายจึงเข้ามาควบคุมพฤติกรรมในการยืม[2] บทบัญญัติของกฎหมาย
องค์ประกอบคู่สัญญา
"ยืมใช้คงรูป" เป็นสัญญายืมประหนึ่งซึ่งกฎหมายส่วนใหญ่วางนิยามไว้ สำหรับประเทศไทย ป.พ.พ. ม.640 ให้นิยามว่า คือ "...สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว" ด้วยบทบัญญัตินี้ คู่สัญญายืมจึงมีสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียก "ผู้ให้ยืม" (อังกฤษ: lender) อีกฝ่ายเรียก "ผู้ยืม" (อังกฤษ: borrower) โดยทั้งสองฝ่ายจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ซึ่งหากเป็นนิติบุคคลก็ทำการผ่านผู้แทนของตนหรือตัวแทนผู้รับมอบอำนาจ[6] วัตถุประสงค์แห่งสัญญา
ด้วยบทบัญญัติ ป.พ.พ. ม.640 วัตถุประสงค์ของสัญญายืมใช้คงรูป คือ การที่ผู้ให้ยืมให้ผู้ยืมยืมทรัพย์สินของตนโดยปลอดค่าตอบแทน สัญญานี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการตอบแทนกัน เช่น ชำระราคาทรัพย์สินที่ยืมกัน และไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืมแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ ผู้ยืมจึงไม่ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตนยืม และผู้ให้ยืมจะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่นำออกให้ยืมหรือไม่ก็ได้ มีแต่สิทธิครอบครองทรัพย์สินนั้นเป็นพอ ซึ่งในกรณีหลังนี้ เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงย่อมติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนที่ถูกนำไปให้ผู้อื่นยืมได้ และผู้มีสิทธิครอบครองก็สามารถติดตามเอคืนซึ่งทรัพย์สินที่ตนครอบครองได้ดุจกัน เพียงแต่กรรมสิทธิ์มีอำนาจเหนือกว่า[7] ในกรณีที่ผู้ให้ยืมนำทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในกรรมสิทธิ์ของตนออกให้ยืม และทรัพย์สินนั้นถูกเรียกคืนขณะที่ผู้ยืมยังใช้สอยไม่เสร็จ ผู้ยืมจะปฏิเสธไม่คืนแก่เจ้าของที่แท้จริงไม่ได้ ประกอบกับที่สัญญายืมมิใช่สัญญาต่างตอบแทน ไม่ก่อหน้าที่และความรับผิดใด ๆ แก่ผู้ให้ยืม ผู้ยืมจะฟ้องผู้ให้ยืมให้รับผิดเพราะตนถูกรอนสิทธิที่จะใช้ทรัพย์สินจนเสร็จก็มิได้ด้วย เว้นแต่ผู้ให้ยืมกับผู้ยืมจะตกลงเรื่องความรับผิดนี้ไว้ตั้งแต่ทำสัญญายืม[8] เช่น ก ฝากรถยนต์ไว้กับ ข ข นำรถยนต์ให้ ค ยืมไปใช้เดินทางท่องเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา ก ทราบเรื่องเข้า จึงตามไปเอารถยนต์คืนถึงจังหวัดเชียงใหม่ เช่นนี้แล้ว ค จะปฏิเสธไม่คืนรถยนต์ให้แก่ ก มิได้ และ ค จะฟ้องให้ ข รับผิดเพราะถูกรอนสิทธิก็มิได้ เว้นแต่ ข และ ค จะตกลงกันแต่ต้นว่า ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ ข จะรับผิดให้ วัตถุประสงค์อีกประการหนึ่ง คือ การที่ผู้ยืมตกลงจะคืนทรัพย์สินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมเมื่อตนใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว อนึ่ง ด้วยเหตุที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวยังคงอยู่กับเจ้าของ มิได้โอนมายังผู้ยืม หากทรัพย์สินนั้นเกิดชำรุดเสียหายเพราะเหตุสุดวิสัยอันจะโทษผู้ยืมมิได้ เช่น น้ำป่าไหลบ่ากะทันหัน ถั่งโถมทำลายทรัพย์สินที่ยืมจนพินาศ ความพิบัติที่เกิดขึ้นนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าของทรัพย์สินเอง ผู้ยืมไม่ต้องรับผิด[9] วัตถุแห่งสัญญาวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปนั้น กฎหมายมิได้กำหนดประเภทไว้ ดังนั้น จะเป็นทรัพย์สินประเภทใดก็ได้ ทั้ง อสังหาริมทรัพย์ เช่น ตึกรามบ้านช่อง อาคารบ้านเรือน ที่ดิน และสังหาริมทรัพย์ เช่น ช้อนส้อมจานชาม ลิขสิทธิ์ สิทธิทางการค้าต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งต้องเป็นทรัพย์สินอันใช้แล้วไม่เสียภาวะ เสื่อมสลาย หรือสิ้นเปลืองหมดไปในทันใดหรือในที่สุด เพราะทรัพย์สินดังว่านี้เป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง[10] ในประเทศไทยมีนักกฎหมายบางกลุ่มเห็นว่า อสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินอันเคลื่อนที่มิได้ และสังหาริมทรัพย์ประเภทไม่มีรูปร่างจับต้องไม่ได้ มีสภาพที่ส่งมอบให้แก่กันมิได้ จึงให้กันยืมมิได้ เช่น ขอยืมลิขสิทธิ์ในวรรณกรรมไปพิมพ์หนังสืองานศพแจก จะหยิบลิขสิทธิ์มาส่งมอบให้กันเช่นไร[11] [12] ความเห็นนี้ถูกต่อต้านจากอีกกลุ่ม เช่น ไผทชิต เอกจริยกร ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่อธิบายว่า[13]
ความบริบูรณ์แห่งสัญญาผล
สัญญายืมใช้คงรูปเมื่อบริบูรณ์แล้ว ไม่ก่อหน้าที่แก่ผู้ให้ยืมให้ต้องรับผิดเพราะความชำรุดบกพร่องใด ๆ ที่เกิดต่อทรัพย์สินอันให้ยืม เว้นแต่เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามีความชำรุดบกพร่องในทรัพย์สินแล้วให้ยืมไปโดยไม่บอกกล่าวผู้ยืม อันเป็นผลให้ผู้ยืมไม่อาจใช้สอยทรัพย์สินนั้นได้ด้วยดี ผู้ให้ยืมอาจต้องรับผิดตามหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยสัญญา เว้นแต่คู่สัญญาตกลงกันให้ผู้ให้ยืมรับผิดในกรณีเช่นว่า[14] แม้สัญญายืมใช้คงรูปไม่ก่อหน้าที่และความรับผิดใด ๆ แก่ผู้ให้ยืม ทว่า ผู้ยืมย่อมมีหน้าที่และความรับผิดในสัญญานี้อย่างแน่นอนเพราะเหตุที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตามกฎหมายไทยโดย ป.พ.พ. ม.642-647 ผู้ยืมมีหน้าที่ต้องออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญา ค่าส่งมอบและค่าส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม ค่าบำรุงทรัพย์สินดังกล่าว ตลอดจนหน้าที่เกี่ยวแก่การใช้สอยทรัพย์สินที่ยืม กับทั้งหน้าที่สงวนรักษาและคืนทรัพย์สินนั้น[15] ทั้งนี้ เพราะผู้ยืมได้ประโยชน์จากสัญญานี้ถ่ายเดียวโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน ก็ควรรับภาระออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปด้วย เว้นแต่คู่สัญญาจะตกลงกันเป็นอื่น[16] หน้าที่ออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญา ค่าส่งมอบและค่าส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมเมื่อสัญญายืมใช้คงรูปเกิดขึ้น กฎหมายไทยโดย ป.พ.พ. ม.642 กำหนดให้ผู้ยืมมีหน้าที่ออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญา ตลอดจนค่าส่งมอบและค่าส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม ค่าฤชาธรรมเนียม (อังกฤษ: costs of the contract) นั้น ปรกติในการทำสัญญายืมใช้คงรูปก็ไม่มีอยู่แล้ว ซึ่ง ไผทชิต เอกจริยกร ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า "...ยังคิดไม่ออกว่า การยืมทรัพย์อะไรจึงต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญา แต่การบัญญัติกฎหมายต้องเขียนไว้ให้บริบูรณ์เท่าที่จะทำได้ จะมีที่ใช้หรือไม่เป็นเรื่องข้างหน้า"[17] ค่าส่งมอบทรัพย์สิน (อังกฤษ: costs of delivery) คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพราะผู้ให้ยืมส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ยืม เช่น ค่าขนส่ง เคลื่อนย้าย หรือนำพาไปซึ่งทรัพย์สินนั้นเป็นต้น[17] ค่าส่งคืนทรัพย์สิน (อังกฤษ: costs of return) คือ ค่าใช้จ่ายอันตรงกันข้ามกับค่าส่งมอบทรัพย์สิน กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพราะผู้ยืมส่งทรัพย์สินที่ยืมกลับคืนไปให้แก่ผู้ให้ยืม แต่ไม่รวมถึงค่าส่งคืนซึ่งดอกผลที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินนั้น เช่น ยืมโคมาตัวหนึ่ง ระหว่างนั้นโคตกลูก เมื่อคืนโค ค่าคืนโคตัวแม่นั้นผู้ยืมรับผิดชอบ แต่ค่าคืนโคตัวลูกกลับคืนสู่ผู้ยืม ให้ผู้ยืมรับผิดชอบเอง[17] หน้าที่ออกค่าบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมเมื่อสัญญายืมใช้คงรูปเกิดขึ้น กฎหมายไทยโดย ป.พ.พ. ม.647 กำหนดให้ผู้ยืมมีหน้าที่ออก "ค่าใช้จ่ายอันเป็นปรกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืม" (อังกฤษ: expenses for ordinary maintenance of the property lent) อันหมายถึง ค่าใช้จ่ายเพื่อยังให้ทรัพย์สินที่ยืมมาอยู่ในสภาพปรกติดี เช่น ยืมรถยนต์มาใช้ขับ ค่าน้ำมันเครื่อง ค่าล้างรถ ค่าตรวจสภาพรถ ฯลฯ จัดเป็นค่าใช้จ่ายปรกติสำหรับบำรุงรักษารถยนต์ หรือยืมสัตว์มาใช้งาน ค่าอาหาร ค่าเลี้ยง ค่ารักษาพยาบาลสัตว์ ฯลฯ ก็จัดเป็นค่าใช้จ่ายปรกติสำหรับบำรุงรักษาสัตว์นั้น[18] ค่าใช้จ่ายอันเหนือปรกตินั้น แม้เพื่อบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมมา ผู้ยืมก็ไม่จำต้องรับผิดชอบ เช่น รถยนต์ที่ยืมมามีตัวถังผุกร่อนอย่างยิ่ง ต้องเปลี่ยนใหม่โดยอาศัยค่าใช้จ่ายมหาศาล เช่นนี้แล้วผู้ให้ยืมต้องรับผิดชอบเอง เว้นแต่คู่สัญญาจะตกลงกันให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียว หรือให้รับผิดชอบร่วมกันก็ได้[19] หน้าที่เกี่ยวแก่การใช้สอยทรัพย์สินที่ยืม
เมื่อสัญญายืมใช้คงรูปเกิดขึ้น กฎหมายไทยโดย ป.พ.พ. ม.643 กำหนดให้ผู้ยืมมีหน้าที่สามประการเกี่ยวแก่การใช้สอบทรัพย์สิน คือ 1. หน้าที่ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเอง ห้ามให้บุคคลภายนอกใช้สอย เพราะผู้ให้ยืมย่อมพิจารณาแล้วว่าผู้ยืมเหมาะสมที่จะใช้ทรัพย์สินนั้น เช่น ยืมชุดว่ายน้ำ เว้นแต่บางกรณีที่โดยสภาพแล้วทรัพย์สินนั้นบุคคลอื่นก็ใช้ได้ไม่จำกัด เช่น ยืมถ้วยช้อนจานชามมาใช้ในงานศพของ ก ก็เอาให้แขกเหรื่อใช้ได้ เพียงแต่ยืมมาเพื่อกิจอันใดก็ใช้เพื่อกิจอันนั้นเท่านั้น จะใช้ต่อในงานศพของ ข ค ง ฯลฯ อีกมิได้[20] 2. หน้าที่ใช้สอยทรัพย์สินให้สอดคล้องกลับความมุ่งหมายแห่งการยืมมาและโดยปรกติอย่างที่ควรจะใช้[21] เช่น ยืมรถจักรยานมาขับส่งลูกไปโรงเรียน จะเอาไปลงแข่งวิบากหรือประลองความเร็วมิได้ 3. หน้าที่ไม่เอาทรัพย์สินไว้นานเกินควร ให้คืนเมื่อได้เวลาคืน หากผู้ยืมฝ่าฝืนหน้าที่ทั้งนี้ เขาต้องรับผิดหากทรัพย์สินที่ยืมสูญหายหรือเสียหายอย่างใด ๆ แม้ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยซึ่งปรกติแล้วเขาไม่ต้องรับผิดก็ตาม เพราะถือว่าผู้ยืมผิดสัญญา หากไม่ฝ่าฝืนหน้าที่นี้ทรัพย์สินนั้นก็อาจไม่ประสบความสูญหายหรือเสียหาย[22] เช่น ก ยืมรถ ข ใช้ขับส่งลูกไปโรงเรียนในเช้าวันหนึ่ง เมื่อส่งลูกเสร็จ ก เอารถใช้ขับเที่ยวห้างสรรพสินค้า ไปหาเพื่อน ๆ และไปประกอบกิจอื่น ๆ ต่ออีกจนหนำใจ ระหว่างจอดไว้ที่บ้านตนเพื่อจะส่งคืนให้แก่ ข ในวันรุ่งขึ้น เผอิญเกิดฟ้าผ่ารถยนต์พังยับไปทั้งคัน ก ก็ต้องรับผิดต่อ ข แม้ฟ้าผ่าจะเป็นเหตุสุดวิสัยอันป้องกันมิได้ก็ตาม นอกจากนี้ ด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. ม.645 เมื่อผู้ยืมฝ่าฝืนหน้าที่ข้างต้น ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญายืมใช้คงรูปนี้เสียก็ได้ และเมื่อเลิกสัญญาแล้วก็เรียกทรัพย์สินคืนได้ หน้าที่สงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมเมื่อสัญญายืมใช้คงรูปเกิดขึ้น กฎหมายไทยโดย ป.พ.พ. ม.644 กำหนดให้ผู้ยืมมีหน้าที่ "สงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง" ("take as much care of the property lent as a person of ordinary prudence would take of his own property") ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อให้ยืมทรัพย์สินไปแล้ว ผู้ให้ยืมย่อมคาดหวังว่าผู้ยืมจะดูแลรักษาทรัพย์สินอย่างดี เพาะกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นยังอยู่ที่ผู้ให้ยืม ถ้าทรัพย์สินเสียหายลงจะเป็น "คราวซวย" ของผู้ให้ยืมเอง[23] พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 นิยาม "วิญญูชน" (อังกฤษ: reasonable person) ว่า "บุคคลผู้รู้ผิดรู้ชอบตามปรกติ"[24] ประกอบกับต้นร่าง ป.พ.พ. ม.644 ที่จัดทำเป็นภาษาอังกฤษก่อนแปลเป็นภาษาไทยแล้วตราเป็นกฎหมายนั้น[25] ใช้ว่า "person of ordinary prudence" อันแปลว่า "ผู้มีความรอบคอบตามปรกติ" ดังนั้น ที่ ป.พ.พ. ม.644 ให้ผู้ยืมสงวนทรัพย์สินเช่น "วิญญูชน" จะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง จึงหมายความว่า ให้ถนอมรักษาทรัพย์สินที่ยืมมาอย่างที่คนทั่วไปพึงถนอม ห้ามน้อยกว่าระดับนี้ และไม่จำเป็นต้องมากกว่า[26] แต่หากประสงค์สงวนทรัพย์สินอย่างเลิศเลอยิ่งกว่าที่คนทั่วไปทำกันแล้ว กฎหมายก็ไม่ได้ห้าม เมื่อผู้ยืมไม่สงวนรักษาทรัพย์สินไว้ให้ดี จนเป็นเหตุให้ไม่อาจคืนทรัพย์สินให้ในสภาพดีดังเดิมหรือไม่มีจะคืนให้เลย ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืม และด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. ม.645 ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญายืมใช้คงรูปนี้เสียก็ได้[27] หน้าที่คืนทรัพย์สินที่ยืม
เมื่อสัญญายืมใช้คงรูปเกิดขึ้น กฎหมายไทยโดย ป.พ.พ. ม.646 กำหนดให้ผู้ยืมมีหน้าที่ส่งทรัพย์สินที่ยืมคืนให้แก่ผู้ให้ยืมตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ เช่น ให้คืนภายในสองสัปดาห์นับแต่วันทำสัญญา หรือภายในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553 หรือก่อนวันเข้าพรรษาประจำ พ.ศ. 2553 เป็นต้น, ถ้าไม่ได้กำหนด ให้คืนเมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการยืมแล้ว เช่น ยืมถ้วยชามไปใส่อาหารเลี้ยงแขกงานบวช เมื่องานเสร็จก็ควรคืนได้ แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกทรัพย์สินคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาล่วงไปพอสมควรแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเรียบร้อยแล้ว โดยไม่จำต้องคำนึงว่าผู้ยืมจะได้ใช้สอยจริง ๆ หรือยัง เช่น งานบวชเสร็จแล้ว ถ้วยชามที่ยืมไปยังไม่ได้ใช้เลย กระนั้นผู้ให้ยืมก็เรียกถ้วยชามคืนได้[28] ในกรณีที่ผู้ยืมบ่ายเบี่ยงไม่ยอมใช้สอยเสียที อาจนับว่ามีเจตนาเอาทรัพย์สินไว้นานเกินควร[29] นอกจากเวลาข้างต้นแล้ว หากตกลงกำหนดสถานที่คืนทรัพย์สินกันไว้ด้วยก็ให้เป็นไปตามนั้น หากไม่ได้กำหนด ป.พ.พ. ม.324 ว่าให้นำไปคืนยังที่ที่เอามา เนื่องจากทรัพย์สินที่ยืมจัดเป็น "ทรัพย์สินเฉพาะสิ่ง" (อังกฤษ: specific property) เช่น ยืมรถยนต์เพื่อนมาใช้จากเชียงใหม่ หากไม่ได้กำหนดสถานที่คืนรถยนต์คันนี้ ก็ให้นำไปคืนที่ที่เอามาคือจังหวัดเชียงใหม่[30] ทรัพย์สินที่คืนต้องเป็นอันเดียวกับที่ยืมไป ผู้ให้ยืมจะจัดหาอันใหม่มาแทนมิได้ แม้จะมีรูปลักษณ์ ประเภท ชนิด หรือปริมาณอย่างเดียวกันก็ตาม แต่คู่สัญญาอาจตกลงกันให้นำทรัพย์สินอย่างอื่นมาคืนแทนก็ได้ เช่น ยืมกระบือเพศเมียไปตัวหนึ่ง มีกำหนดคืนภายในเจ็ดวัน ครบกำหนดแล้วคู่สัญญาตกลงให้คืนกระบือเพศผู้ต่อกันแทนก็ได้ จัดเป็นสัญญาแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นหลังสัญญายืมใช้คงรูป แต่ไม่กระทบกระเทือนความสมบูรณ์ของสัญญายืมใช้คงรูป[31] ในกรณีที่มีดอกผล (อังกฤษ: fruit) งอกเงยจากทรัพย์สินนั้นในระหว่างยืม เช่น ยืมแม่โคไปทำนา ระหว่างนั้นแม่โคเกิดตกลูก ลูกโคเป็นดอกผลของแม่โค ดังนั้น ผู้ยืมต้องมอบดอกผลคืนไปกับทรัพย์สินที่ยืมด้วย เพราะดอกผลจากทรัพย์สินใดก็เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์สินนั้นตาม ป.พ.พ. ม.133 ในเมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืมมิได้โอนมาแก่ผู้ยืม ไหนเลยเขาจะได้ดอกผลอันนี้[32] เมื่อทรัพย์สินที่ยืมเกิดสูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยอันโทษผู้ยืมมิได้ เช่น ยืมกระบือมา ระหว่างใช้สอยได้เก็บไว้ในคอกอย่างดี เผอิญถูกโจรปล้นไปติดตามเอาคืนมิได้ หรือยืมรถยนต์มา ระหว่างใช้สอยเกิดแผ่นดินไหว รถพุ่งลงซอกเหววินาศไปก็ดี หรือทรัยพ์สินนั้นเสียหรือสูญหายไปเพราะบุคคลภายนอกอันโทษผู้ยืมมิได้ เช่น มีรถยนต์คันอื่นขับมาโดยความประมาทพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ที่ยืมมา ดังนี้ ผู้ยืมไม่ต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมแต่ประการใด ไม่ต้องใช้ราคาทรัพย์สินหรือใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างใด ๆ เลย และผู้ยืมชอบที่จะฟ้องเรียกร้องเอากับบุคคลที่สามผู้ทำให้ทรัพย์สินวิบัติไปเช่นนั้น เว้นแต่คู่สัญญาตกลงกันให้ผู้ยืมรับผิด[33] เมื่อได้เวลาคืน แต่มีเหตุยังให้คืนมิได้โดยที่โทษผู้ยืมก็มิได้ด้วย ไม่ชื่อว่าผู้ยืมผิดนัดในการคืนทรัพย์สิน ทั้งนี้ ตาม ป.พ.พ. ม.205 เช่น ก อยู่เชียงราย ยืมเครื่องพิมพ์ดีด ข อยู่กรุงเทพฯ มาใช้ และตกลงจะไปคืนให้ถึงที่ ครั้นถึงกำหนดคืน ปรากฏน้ำป่าไหล่บ่าตัดการจราจรภาคเหนือ เช่นนี้แล้ว ไม่ถือว่า ก ผิดนัดคืนเครื่องพิมพ์ดีด[34] ความระงับสิ้นลง
สัญญายืมใช้คงรูปจะระงับลงเพราะครบกำหนดเวลายืมหากตกลงกันไว้ หรือเมื่อทรัพย์สินกลับมาอยู่ในเงื้อมมือของผู้ให้ยืมหลังผู้ให้ยืมเรียกให้คืนในกรณีที่ไม่ได้ตกลงกำหนดเวลายืมกันไว้ หรือแม้กำหนดไว้แต่ผู้ยืมคืนให้ก่อนกำหนด รวมถึงจะระงับลงเพราะทรัพย์สินที่ให้ยืมสูญสลายไปทั้งหมดไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น ยืมกระบือมาไถนา ระหว่างใช้งาน กระบือติดโรคระบาดตาย สัญญายืมกระบือเป็นอันระงับ[35] อนึ่ง นอกเหนือจากมูลเหตุข้างต้นแล้ว ป.พ.พ. ม.648 ยังว่า "อันการยืมใช้คงรูป ย่อมระงับสิ้นไปด้วยมรณะแห่งผู้ยืม" แต่สัญญายืมใช้คงรูปจะไม่ระงับเพราะผู้ให้ยืมตาย เนื่องจากสัญญาประเภทนี้พิจารณาคุณสมบัติของผู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้น แม้ผู้ยืมตาย ทายาทของเขาจะเรียกเอาทรัพย์สินคืนโดยอ้างว่าสัญญายืมระงับแล้วหาได้ไม่ แต่หากผู้ให้ยืมตาย สัญญาระงับ และทายาทของผู้ยืมมีหน้าที่คืนทรัพย์สินกลับสู่ผู้ให้ยืม ด้วยว่าทรัพย์สินนี้ไม่เป็นมรดกตกทอด เพราะกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังอยู่ที่ผู้ให้ยืม จะโอนไปยังผู้ยืมก็หาไม่[36] ความตายข้างต้นนี้ รวมถึงความตายด้วยผลของกฎหมาย หรือ "ความตายเพราะเป็นผู้ไม่อยู่" (อังกฤษ: death in absentia) อันเป็นกรณีที่ผู้ยืมเป็นผู้ไม่อยู่ และต่อมาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญจนพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้วก็ให้ถือว่าตาย แต่ไม่รวมถึงการถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือถูกศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต เพราะเขายังไม่ตาย ส่วนผู้ยืมที่เป็นนิติบุคคล ถือว่าตายเมื่อสิ้นสภาพนิติบุคคล เช่น เมื่อเลิกกิจการ หรือถูกนายทะเบียนถอนชื่อออก เป็นต้น[37] อย่างไรก็ดี ด้วยอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ ผู้ให้ยืมจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่ตนให้ผู้ยืมยืมใช้คงรูปก่อนสัญญายืมระงับสิ้นลงก็ได้ อันจะมีผลให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวโอนไปแก่บุคคลที่สาม และผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ไม่จำต้องปฏิบัติตามสัญญายืมข้างต้นแต่อย่างใดเพราะมิใช่คู่สัญญา หากผู้ยืมได้รับความเสียหายในการนี้ เช่น ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินคนใหม่เรียกทรัพย์สินคืนไป ทำให้ผู้ยืมไม่อาจใช้สอยได้เรียบร้อยตามสัญญา ผู้ยืมไม่อาจเรียกให้ผู้ให้ยืมรับผิดต่อตนได้ เพราะเขาไม่มีหน้าที่เช่นนั้น สัญญายืมมิใช่สัญญาต่างตอบแทน เว้นแต่คู่สัญญาจะตกลงกันให้ฝ่ายผู้ให้ยืมรับผิด[38] อายุความหากจะฟ้องให้ผู้ยืมรับผิดเพราะไม่ออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญา ค่าส่งมอบ และค่าส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม, เพราะนำทรัพย์สินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของการยืมหรือเอาไปให้บุคคลอื่นใช้สอย, เพราะไม่สงวนรักษาทรัพย์สินดังวิญญูชนพึงสงวนทรัพย์สินของตน หรือเพราะเอาทรัพย์สินไว้นานเกินควร จนทรัพย์สินเกิดเสียหายไปลง อันเป็นการฝ่าฝืนหน้าที่ตามสัญญายืมใช้คงรูป หรือหากจะฟ้องให้ผู้ให้ยืมรับผิดเพราะไม่ออกค่าใช้จ่ายอันเหนือปรกติในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมแล้ว ต้องกระทำภายในอายุความหกเดือนนับแต่วันที่สัญญาระงับสิ้นลง เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียจากฝ่ายตรงข้าม[39] ดัง ป.พ.พ. ม.649 ว่า "ในข้อความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา" แต่หากจะฟ้องผู้ยืมให้คืนทรัพย์สิน หรือให้ใช้ราคาทรัพย์สินแทน ไม่อยู่ในอายุความหกเดือน เพราะมิใช่ฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนตาม ป.พ.พ. ม.649 ทว่า อยู่ในอายุความทั่วไป คือ สิบปี ตาม ป.พ.พ. ม.193/30 ซึ่งว่า "อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดสิบปี"[40] อ้างอิง
ภาษาไทย
ภาษาต่างประเทศ
ดูเพิ่ม
|
Portal di Ensiklopedia Dunia