พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล (10 มีนาคม พ.ศ. 2435 – 23 มกราคม พ.ศ. 2500) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับหม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา และเป็นพระชายาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ พระประวัติพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล (พระยศเดิม หม่อมเจ้าเฉลิมเขตรมงคล) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ประสูติแต่หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม บุนนาค)[1] มีพระโสทรเชษฐา 2 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เป็นพระธิดาที่ใกล้ชิดกับพระบิดา ด้วยความที่ทรงกำพร้าพระมารดาตั้งแต่พระชันษาได้เพียง 2 ปี[1] จึงเลี้ยงไว้ไม่ห่างพระองค์ ด้วยความรักในพระธิดา สิ่งใดที่เป็นความสุขและความปรารถนาของพระธิดา ถ้าไม่เหลือความสามารถแล้วพระองค์หญิงเป็นต้องได้[1] ทั้งนี้มีพี่เลี้ยงเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ ซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของพระบิดา โดยพระองค์ทรงเรียกพระองค์เจ้าคำรบว่า "แม่"[2] ในปีที่พระองค์ประสูตินั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฉลองสิริราชสมบัติครบ 25 ปี[3] จึงมีเจ้านายทูลขอพระราชทานพระนามสำหรับพระโอรส-ธิดาในเวลาไล่เลี่ยกันสามองค์ คือ[3]
ต่อมาในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 พระองค์ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า และเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2443 สถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า พร้อมกับพระโสทรเชษฐาทั้งสองพระองค์[4] เสกสมรสพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล ทรงพบกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ครั้งแรกในงานออกร้านวัดเบญจมบพิตร ดังที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ ทรงเล่าให้หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุลฟัง ความว่า[5]
ด้วยความที่พระองค์ไม่มีจริตและน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ ประกอบกับการแสดงออกทางอากัปกิริยาที่เป็นธรรมชาติ คือสิ่งที่ดึงดูดพระทัยสมเด็จชายที่กำลังทรงอยู่ในแวดวงของเหล่าสตรีที่มีจริต และด้วยความสมน้ำสมเนื้อดังกล่าว ความรักของทั้งสองพระองค์ก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น[5] เมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเสกสมรสกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ และได้รับการยกย่องจากรัชกาลที่ 5 ในฐานะสะใภ้หลวง[2] สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงเล่าถึงงานอภิเษกสมรสนี้ ความว่า[5]
ทั้งนี้สมเด็จชายและพระองค์หญิงทรงครองชีวิตคู่ ที่เรียกอย่างสามัญว่า "ผัวเดียวเมียเดียว"[5] โดยมีพระโอรสด้วยกัน 3 พระองค์ ได้แก่[2]
พระจริยวัตรพระองค์ทรงออกพระนามพระองค์เองว่า "แม่หนูเฉลิมเขตร"[6] ส่วนเจ้านายชั้นผู้ใหญ่พระองค์อื่น ๆ ออกพระนามว่า "ยายบี้" ด้วยมีพระนาสิกแบน[6] และพระราชนัดดาองค์อื่น ๆ ในรัชกาลที่ 5 ออกพระนามว่า "ยิบหยี" เพราะโปรดทำพระเนตรหยี[4] พระองค์ไม่สันทัดในงานบ้านงานเรือนนัก แต่ก็ทำหน้าที่ของบุตรที่ดีโดยมิขาดตกบกพร่อง โดยพระองค์เองเคยกล่าวเกี่ยวกับความไม่สันทัดดังกล่าว ความว่า "เกิดมาเป็นลูกเจ้าฟ้า มาแต่งงานก็เป็นเมียเจ้าฟ้า จะให้รู้จักเช็ดกระไดไชรูท่ออย่างไร"[7] หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ได้กล่าวถึงอุปนิสัย และพระจริยวัตรโดยรวมของพระองค์ไว้ ความว่า "พระองค์หญิงเฉลิมเขตรมงคลมีพระรูปโฉมเหมือนสมเด็จพระบิดาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งพระอัธยาศัยก็คล้ายกันเป็นอันมาก กล่าวคือไม่มีใครเกลียดและไม่มีศัตรู เพราะไม่เป็นภัยกับใครเลย ไม่มีการเล่นพวก ไม่ด่าว่าค่อนแคะผู้ใด ไม่ดูถูกเหยียดหยามผู้ใด มีแต่ความซื่อสัตย์สุจริตและตามพระทัยพระองค์เอง เช่นเด็กที่เป็น Spoiled Child มาตั้งแต่เกิดเพราะไม่เคยมีใครขัดใจเท่านั้น ถ้ามีสิ่งใดที่เสียก็เป็นเรื่องที่ท่านทำพระองค์ท่านเอง ไม่มีผู้ใดต้องมาเสียหายด้วย เช่น ทรงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ก็เป็นเงินของท่านเอง ไม่ได้ไปหยิบยืมใครมาให้เขาสูญทรัพย์"[8] ความสนพระทัยพระองค์หญิงก็ทรงสนพระทัยในงานด้านศิลปะ การแสดง และทรงริเริ่มในการฝึกละครข้าหลวงตั้งเป็นคณะนาฏดุริยศิลปินจัดแสดงภายในวัง เมื่อตามเสด็จพระสวามีไปประทับยังมณฑลปักษ์ใต้ก็ทรงจัดตั้งวงดนตรี มีข้าหลวงเป็นนักดนตรีประจำคณะ ส่วนพระองค์ทรงซอด้วง[9] ภายหลังพระสวามีสิ้นพระชนม์ เสด็จพระองค์หญิงฯทรงย้ายมาประทับที่วังมังคละสถาน ริมถนนสุขุมวิท ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานทูตสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เสด็จพระองค์หญิงฯ ทรงสนพระทัยในนาฏยศิลป์และดุริยางค์ของไทย และโปรดจัดการแสดงต่าง ๆ ขึ้นตลอดพระชนม์ชีพ ทรงจัดการแสดงครั้งแรก ณ วังมังคละสถานเป็นโขนเฉลิมวันประสูติในปี พ.ศ. 2485 ต่อมาทรงตั้งคณะชูนาฏดุริยางค์ศิลป์ขึ้น เพื่อแสดงเป็นประจำในวังโดยอาศัยสถานที่ต่าง ๆ ในวังเป็นฉาก และจัดการแสดงตามที่ต่าง ๆ ในโอกาสสำคัญ เช่น งานฉลองเปิดหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากการแสดงตามแบบแผนเดิมของไทยแล้วเสด็จพระองค์หญิงฯได้ทรงประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ในเรื่องเครื่องแต่งกายและฉาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงคิดแบบละครขึ้นใหม่ชนิดหนึ่งเรียกว่า ละครพูดสลับรำ ละครของพระองค์มีคนดูจำนวนมาก และมีทุกระดับชั้น ต่อมาทรงหันมาสนพระทัยด้านศิลปะรำไทย ทรงตั้งคณะชูนาฏดุริยศิลป[9] ทั้งนี้ทรงมีความสามารถในการเขียนบทละคร ทั้งละครรำละละครพันทางซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น บทละครดังกล่าวได้แก่ ปันหยีมิสาหรัง และบทละครจากนวนิยายเรื่อง รุ่งฟ้าดอยสิงห์ เป็นต้น[9] คณะชูนาฏดุริยางค์ศิลป์แสดงอยู่ 15 ปี มีการแสดงอยู่ 4 ประเภท คือ โขนละครต่าง ๆ รำเบ็ดเตล็ด และการแสดงเบ็ดเตล็ดมีผู้แสดงทั้งผู้มีบรรดาศักดิ์และสามัญชนนักแสดงหลายคนเริ่มอาชีพที่นี่ และหลายคนได้รับอิทธิพลจากที่นี่และมีชื่อเสียงอยู่จนปัจจุบัน ครั้นเสด็จพระองค์หญิงฯ สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2500 พระนามชื่อคณะและสิ่งที่พระองค์สร้างเสริมไว้ให้แก่วงการนาฏยศิลป์ไทยก็จางหายไปและถูกลืมเลือน สิ้นพระชนม์บั้นปลายพระชนม์ชีพ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล ประชวรและไม่สามารถเสด็จออกงานพระราชพิธีต่าง ๆ ได้ โดยย้ายไปประทับที่วัดมงคลสถาน และ สิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคพระวักกะพิการเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2500 สิริพระชันษา 64 ปี โดย พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงพระศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อช่วงบ่ายวันพุธที่ 26 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2500 ก่อนหน้านั้นในช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 25 มิถุนายน ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดมงคลสถาน เพื่อวางพวงดอกไม้ที่หน้าโกศพระศพและประทับเป็นประธานในพิธีการพระราชกุศลพระราชทานพระศพ[10][11] พระนามของพระองค์ ถูกนำมาใช้เป็นชื่อของ โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมเขตร์ พระเกียรติยศ
พระอิสริยยศ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พงศาวลี
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia