ปุคคลบัญญัติปกรณ์อรรถกถาปุคคลบัญญัติปกรณ์อรรถกถา เป็นคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในปุคคลบัญญัติปกรณ์ ในพระอภิธรรมปิฎก ของพระไตรปิฎก ซึ่งปุคคลบัญญัติ มีเนื้อหาสำคัญอยู่ที่การบัญญัติบุคคลว่า บุคคลนั้น ๆ ประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างไร มีชื่อเรียกว่าอย่างไร[1] ปุคคลบัญญัติปกรณ์อรรถกถา เป็นส่วนหนึ่งในปรมัตถทีปนี หรือปัญจัปปกรณัฏฐกถา หรือ อรรถกถาปัญจปกรณ์ หรือบางทีก็เรียกว่า "ปรมัตถทีปนี ปัญจปกรณัฏฐกถา ปุคคลบัญญัติวัณณา"[2] เป็นผลงานของพระพุทธโฆสะ แต่งตามคำอาราธนาของพระจุลลพุทธโฆสะชาวลังกา เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 1000 - 1,100 ซึ่งปรมัตถทีปนี หรือปัญจัปปกรณัฏฐกถา นั้นเป็นการอธิบายเนื้อความในปกรณ์ทั้ง 5 ของพระพระอภิธรรมปิฎก 5 คัมภีร์ คือ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก และปัฏฐาน[3] โดยปุคคลบัญญัติปกรณ์อรรถกถา เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ปรมัตถทีปนี ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุม และใหญ่โตมโหฬาร ทั้งนี้ โดยเหตุที่ธาตุกถามักรวมกับปุคคลบัญญัติอยู่ในเล่มเดียวกัน อรรถกถาของทั้ง 2 ปกรณ์ของพระอภิธรรมปิฎกนี้ จึงมักรวมเป็นฉบับเดียวกัน แต่ในบางกรณีก็แยกเป็นเอกเทศจากกัน[4] เนื้อหาโดยเหตุที่พระอภิธรรมปิฎก มีเนื้อหาเป็นข้อธรรมล้วน ๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคล จึงมีความยากที่จะทำความเข้าใจ พระอรรถกถาจารย์จึงต้องมีการขยายความเนื้อหาในปกรณ์ หรือพระอภิธรรมปิฎกเล่มต่าง ๆ ด้วยการเสริมเนื้อเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อธรรมนั้น ๆ พน้อมทั้งมีการอธิบายคำศัพท์ที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น และเข้าถึงความลึกซึ้งของพระอภิธรรมปิฎกได้มากขึ้น ซึ่งเนื้อหาสาระที่สำคัญที่สุดของปุคคลบัญญัติปกรณ์อรรถกถานั้น ย่อมเป็นการอธิบายและขนายความลักษณะบุคคลประเภทต่าง ๆ ที่ปรากฏในหลักคำสอนทางพุทธศาสนา ในปุคคลบัญญัติปกรณ์อรรถกถา พระพุทธโฆสะ มีทั้งการขยายความเนื้อหาในคัมภีร์ทั้งในแง่สารัตถะ และในแง่นิยามความหมายของคำศัพท์และประโยชคที่ปรากฏในคัมภีร์ โดยตัวอย่างการอธิบายเนื้อหาสาระ หรือการเพิ่มเติมจากสารตถะเดิมของคัมภีร์นั้น เช่นในอรรถกถาภยูปรตบุคคล ท่านผู้รจนาได้อธิบายเพิ่มเติมจนเกิดความกระจ่างว่า "ภยูปรตบุคคล" หรือ "บุคคลผู้งดเว้นเพราะกลัว" หมายถึงผู้ใดบ้าง และเหตุใดจึงงดเง้นเพราะความกลัว หรือเพราะความกลัวในสิ่งใดจึงงดเว้นไม่กระทำการเช่นนั้น ๆ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ "พระเสกขบุคคล 7 พวก กับ ปุถุชนทั้งหลายผู้มีศีล กลัวแล้วย่อมงดเว้นจากบาป คือ ไม่กระทำบาป บรรดาพระอริยะและปุถุชนทั้งหลาย ย่อมกลัวภัย 4 อย่างคือ 1. ทุคคติภัย 2. วัฏฏภัย 3. กิเลสภัย 4. อุปวาทภัย ในภัยเหล่านั้น ภัยคือการไปสู่คติชั่ว ชื่อว่า ทุคคติภัย เพราะอรรถว่า อันบุคคลพึงกลัว แม้ในภัยทั้ง 3 ที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ในท่านเหล่านั้นปุถุชนกลัวทุคคติภัยด้วยคิดว่า ถ้าท่านจักทำบาปไซร้ อบายทั้ง 4 จักเป็นเช่นกับงูเหลือมกำลังหิวกระหายอ้าปากคอยท่าอยู่ ท่านเมื่อเสวยทุกข์อยู่ในอบายเหล่านั้นจักทำอย่างไร ? จึงไม่ทำบาป. ก็สังสารวัฏมีเบื้องต้นและที่สุดอันรู้มิได้นั่นแหละ ชื่อว่า วัฏฏภัย. อกุศลแม้ทั้งปวง ชื่อว่า กิเลสภัย. การติเตียน ชื่อว่า อุปวาทภัย. ปุถุชนกลัวภัยเหล่านั้นย่อมไม่กระทำบาป แต่พระเสกขะ 3 จำพวก คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ทั้ง 3 นี้ล่วงพ้นจากทุคคติภัยได้แล้ว จึงยังกลัวภัยทั้ง 3 ที่เหลืออยู่ ย่อมไม่การทำบาป. พระเสกขะผู้ตั้งอยู่ในมรรคชื่อว่าผู้งดเว้นจากภัยด้วยอำนาจแห่งการบรรลุ หรือเพราะความเป็นผู้ตัดภัยยังไม่ขาด. พระขีณาสพ ชื่อว่า อภยูปรตบุคคล ท่านไม่กลัวภัยแม้สักอย่างหนึ่งในภัยทั้ง 4 เหล่านั้น. จริงอยู่ พระขีณาสพท่านตัดภัยได้ขาดแล้ว เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "อภยูปรโต" ผู้งดเว้นความชั่วมิใช่เพราะความกลัวภัย. ถามว่าท่านก็ย่อมไม่กลัวแม้แต่ อุปวาทภัย ภัยคือการติเตียนหรือ? ตอบว่าไม่กลัว แต่ไม่ควรกล่าวว่าท่านรักษาอุปวาทภัย ข้อนี้บัณฑิตพึงเห็นเหมือนพระขีณาสพเถระในบ้านโทณุปปลวาปี เป็นตัวอย่าง."[5] ตัวอย่างการอธิบายในแง่นิยามความหมายของคำศัพท์และประโยชคที่ปรากฏในคัมภีร์ เช่น ในอรรถกถาเอกกนิทเทส สมยวิมุตตบุคคล พระอรรถกถาจารย์ได้ทำการแจกแจงและอธิบายประโยคในเนื้อความที่ว่า "กตโม จปุคฺคโล สมยวิมุตฺโต" หรือ "สมยวิมุตตบุคคล บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน?" ท่านได้แจกแจงดังนี้ "ในคำเหล่านั้น คำว่า อิธ ได้แก่ ในสัตว์โลก. คำว่าเอกจฺโจ ปุคฺคโล ได้แก่ บุคคลคนหนึ่ง. ในคำว่า กาเลน กาลํ นี้พึงทราบเนื้อความด้วยสัตตมีวิภัตติ. อธิบายว่า ในกาลหนึ่ง ๆ คำว่า "สมเยนสมยํ" นี้เป็นไวพจน์ของคำก่อนนั้นแหละ (คือเป็นไวพจน์ของคำว่า กาเลนกาลํ) คำว่า "อฏฺฐ วิโมกฺเข" ได้แก่ สมาบัติ 8 อันเป็นรูปาวจร และอรูปาวจรฌาน. จริงอยู่ คำว่า วิโมกข์ นี้เป็นชื่อของสมาบัติ 8 เหล่านั้นเพราะพ้นจากธรรมอันเป็นข้าศึกทั้งหลาย. คำว่า "กาเยน" ได้แก่ นามกายที่เกิดพร้อมกับวิโมกข์. คำว่า "ผุสิตฺวา วิหรติ" ได้แก่ ได้สมาบัติแล้ว จึงผลัดเปลี่ยนอิริยาบถอยู่"[6] คัมภีร์ที่เกี่ยวข้องชั้นฎีกา
ชั้นอนุฎีกา
ชั้นโยชนา
ชั้นคัณฐี
อ้างอิง
บรรณานุกรม
|
Portal di Ensiklopedia Dunia