บุพเพสันนิวาส
บุพเพสันนิวาส (อังกฤษ: Love Destiny) เป็นละครโทรทัศน์แนวย้อนยุค ออกฉายครั้งแรกทางช่อง 3 เอชดี ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เขียนบทโทรทัศน์โดย ศัลยา สุขะนิวัตติ์ ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ รอมแพง กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ นำแสดงโดย ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ, ราณี แคมเปน, หลุยส์ สก๊อต, สุษิรา แน่นหนา, ปรมะ อิ่มอโนทัย และ กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล ออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561–11 เมษายน พ.ศ. 2561 เนื้อเรื่องเกศสุรางค์ (ราณี แคมเปน) เป็นนักโบราณคดีสาวผู้ร่าเริงแจ่มใส ผู้ช่ำชองด้านโบราณคดีและภาษาฝรั่งเศส เธอมีใจให้กับเรืองฤทธิ์ (ปรมะ อิ่มอโนทัย) เพื่อนสนิท แต่ไม่เคยบอกเพราะไม่มั่นใจที่ตนเองอวบอ้วน วันหนึ่งเกศสุรางค์และเรืองฤทธิ์ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ ส่งผลให้เกศสุรางค์เสียชีวิตในทันที ย้อนไป 333 ปีในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม่หญิงการะเกด ( หญิงชั้นสูงที่มีจิตใจเหี้ยมโหด สั่งให้ ผิน (จรรยา ธนาสว่างกุล) กับ แย้ม (รมิดา ประภาสโนบล) บ่าวผู้ภักดี ไปล่มเรือของแม่หญิงจันทร์วาด (กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล) เพราะหึงหวงหมื่นสุนทรเทวา (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) คู่หมายของเธอ ทำให้บ่าวของแม่หญิงจันทร์วาดจมน้ำตาย เป็นที่รู้กันว่าแม่การะเกดเป็นตัวการในเรื่องนี้ แต่ไม่มีหลักฐาน ออกญาโหราธิบดี (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) พ่อของท่านหมื่นจึงเสนอให้สวดมนต์กฤษณะกาลีเพื่อพิสูจน์ความจริง หากใครเป็นผู้กระทำผิดก็จะตายอย่างทรมาน ส่งผลให้แม่หญิงการะเกดขาดใจตายในทันที ในช่องว่างระหว่างกาลเวลา วิญญาณของการะเกดและเกศสุรางค์ได้พบกัน การะเกดขอให้เกศสุรางค์ทำให้ทุกคนเห็นว่าเธอยังมีความดี เมื่อเกศสุรางค์ตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ในร่างของแม่การะเกดเสียแล้ว ด้วยความสดใสขี้เล่นของเกศสุรางค์ในร่างแม่หญิงการะเกดความเกลียดชังที่คนรอบข้างมีให้ก็เริ่มคลายลง หมื่นสุนทรเทวาเองก็เช่นกัน เมื่อโดนอ้อนให้พาไปเที่ยวบ่อย ๆ ก็เริ่มหลงรักแม่หญิงแสนประหลาดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แม่หญิงการะเกดได้พบกับหมื่นเรืองราชภักดี (ปรมะ อิ่มอโนทัย) ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับเรืองฤทธิ์จึงคุยด้วยความสนิทสนมจนคุณพี่หมื่นหึงอยู่บ่อยๆ เกศสุรางค์ยังได้รู้จักกับ "แม่มะลิ" (สุษิรา แอนจิลีน่า แน่นหนา) จากการที่แขกฟานิกพ่อของแม่มะลิ ถูกคนของออกหลวงสุรสาคร (หลุยส์ สก๊อต) ข้าราชการชาวกรีกรังแก เกศสุรางค์ช่วยโต้เถียงเป็นภาษาฝรั่งเศสจนเป็นเรื่องฮือฮาไปทั่ว แม่มะลิแอบชอบท่านหมื่นแต่ก็ตัดสินใจแต่งงานกับออกหลวงสุรสาครเพราะไม่อยากเป็นเมียรองของใคร เกศสุรางค์ได้นำเอาความรู้จากอนาคตมาใช้ประดิษฐ์ของหลายอย่างเช่น หมอน เครื่องกรองน้ำ กางเกงใน และเธอยังทำอาหารที่ไม่มีในยุคนั้นให้ทุกคนได้ลองชิม ทั้งกุ้งเผา น้ำจิ้มซีฟู้ด หมูกระทะ เกศสุรางค์ยังได้สร้างวีรกรรมแสบๆไว้อีกมากมายจนคนโจษจันกันไปทั่ว ทั้งต่อยกับนักเลงที่ตลาดบ้านจีน ผายปอดให้ท่านหมื่นกลางตลาด ซื้อมุ้งให้บ่าวทั้งที่ไม่มีใครเขาทำกัน ขณะเดียวกันเกศสุรางค์ยังได้พบกับบุคคลในประวัติศาสตร์อีกหลายพระองค์และคน เช่น พระเจ้าสุริเยนทราธิบดี หรือพระเจ้าเสือ (จิรายุ ตันตระกูล) (ขณะนั้นดำรงยศเป็น ออกหลวงสรศักดิ์), สมเด็จพระเพทราชา (ศรุต วิจิตรานนท์) (ขณะนั้นดำรงยศเป็นออกพระเพทราชา), โกษาปาน (ชาติชาย งามสรรพ์) (ขณะนั้นดำรงยศเป็นพระยาวิสูตรสุนทร), โกษาเหล็ก (สุรศักดิ์ ชัยอรรถ) และสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (ขณะนั้นยังเป็นสามัญชน นามว่าคุณทองคำ) วันหนึ่งหมื่นสุนทรเทวาได้อวยยศขึ้นเป็น "ขุนศรีวิสารวาจา" ก็ได้กราบเรียนออกญาโหราธิบดีและคุณหญิงจำปา (ชไมพร จตุรภุช) ผู้เป็นมารดาว่าจะแต่งงานกับเกศสุรางค์ในร่างแม่หญิงการะเกด ทำให้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดเสียใจมาก ปรากฏกายมาตัดพ้อต่อว่าเกศสุรางค์ว่าจะแย่งท่านขุนไปจากตน เกศสุรางค์จึงจำต้องรับปากแม่หญิงการะเกดและปฏิเสธการหมั้นไปทั้งๆที่รักท่านขุนจนหมดใจ แต่ในที่สุด ความดีที่เกศสุรางค์ได้ทำไว้ก็ส่งผลให้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดจะได้ไปเกิดใหม่ การะเกดจึงเอ่ยปากยอมให้เกศสุรางค์แต่งงานกับท่านขุน ต่อมาขุนศรีวิสารวาจาต้องเป็นตรีทูตไปฝรั่งเศสโดยมีโกษาปานเป็นราชทูต เกศสุรางค์จึงให้หมอนท่านขุนไว้แทนตัว เมื่อท่านขุนกลับมายังกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับการอวยยศเป็น "พระศรีวิสารสุนทร" ทางด้านหมื่นเรืองราชภักดีก็รับราชการอย่างแข็งขันจนได้อวยยศเป็น "ขุนเรืองอภัยภักดี" และเริ่มพยายามจะสานสัมพันธ์กับแม่หญิงจันทร์วาดหลังจากที่โกษาเหล็กพ่อของแม่หญิง ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหมและเจ้ากรมคลังถูกโบยจนเสียชีวิต เนื่องจากออกหลวงสุรสาครหักหลังนำความไปทูลฟ้องขุนหลวงนารายณ์ (ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง) จนได้รับการอวยยศเป็น "ออกพระฤทธิ์กำแหง" คุณหญิงนิ่ม (รัชนี ศิระเลิศ) มารดาของแม่หญิงจันทร์วาดไม่ชอบใจเพราะขุนเรืองเป็นเพียงบุตรชายของคุณพระเรือนแพไม่คู่ควรกับบุตรสาวของตน ขุนเรืองจึงขอความช่วยเหลือจากเกศสุรางค์ เธอจึงเสนอให้ขุนเรืองหาสิ่งของไปกำนัลเพื่อเอาชนะใจคุณหญิงนิ่ม จนในที่สุดคุณหญิงนิ่มก็ใจอ่อนยอมยกแม่หญิงจันทร์วาดให้กับขุนเรือง แม่มะลิแต่งงานไปมีลูกชื่อโยอันกับยอร์ช เธอทะเลาะกับฟอลคอนเป็นประจำเพราะเธอไม่เห็นด้วยกับการทำผิดของฟอลคอน ผู้ซึ่งได้อวยยศเป็นเจ้าพระยาวิไชยเยนทร มีอำนาจล้นแผ่นดิน แม่มะลิจึงแอบนำความลับของสามีมาบอกเกศสุรางค์เสมอ ในช่วงปลายรัชกาล พระนารายณ์ทรงประชวรจนไม่สามารถออกว่าราชการได้ ขุนนางเริ่มแบ่งฝักฝ่าย ด้านหนึ่งออกญาวิไชเยนทร์ร่วมมือกับพวกทหารฝรั่งเศส ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นฝั่งของลูกศิษย์ท่านอาจารย์ชีปะขาว มีทั้งออกพระเพทราชา ออกหลวงสรศักดิ์ โกษาปาน ขุนเรือง ขุนศรีวิสารวาจา รวมถึงเกศสุรางค์ที่เป็นศิษย์หญิงเพียงคนเดียว เมื่อเกศสุรางค์แน่ใจแล้วว่าออกพระเพทราชาไม่ได้มีความกระหายในอำนาจเพียงแค่ต้องการปกป้องแผ่นดินจากพวกฝาหรั่ง เธอจึงบอกเรื่องจดหมายลับที่ฟอลคอนแอบส่งถึงทหารฝรั่งเศสซึ่งเธอได้รู้มาจากการเรียนประวัติศาสตร์ ทำให้ออกพระเพทราชาสามารถจับออกญาวิไชเยนทร์มาประหารและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไป วันหนึ่ง เกศสุรางค์ได้พบบทสวดมนต์กฤษณะกาลีในห้องทำงานของออกญาโหราธิบดี ทันทีที่มือของเธอสัมผัสกับคัมภีร์ วิญญาณของเกศสุรางค์ก็หลุดออกจากร่าง เมื่อพ่อเดชเข้ามาเห็นร่างไร้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเตรียมทำพิธีร่ายมนต์กฤษณะกาลีเพื่อนำวิญญาณของเกศสุรางค์กลับมา ด้านวิญญาณของเกศสุรางค์ล่องลอยอยู่ไร้จุดหมาย จนได้พบกับอาจารย์ชีปะขาวซึ่งอธิบายให้เกศสุรางค์ได้รู้ว่าตนเองนั้นมีฝาแฝดซึ่งก็คือแม่หญิงการะเกดที่ตายไปนั่นเอง ทั้งยังส่งเธอกลับมายังยุคปัจจุบัน ทำให้เกศสุรางค์ได้พบว่าเรืองฤทธิ์บวชตลอดชีวิตเพื่ออุทิศส่วนบุญให้เธอ และเธอยังเห็นเงาของพ่อเดชทับซ้อนในร่างของเรืองฤทธิ์ซึ่งหมายความว่าเรืองฤทธิ์คือพ่อเดชมาเกิดใหม่ เกศสุรางค์ได้ยินเสียงมนต์กฤษณะกาลีแว่วมา เธอรู้ว่าไม่สามารถใช้ชีวิตในปัจจุบันได้แล้วจึงกราบลาคุณแม่และคุณยายแล้วกลับไปยังร่างแม่หญิงการะเกดอีกครั้ง พอฟื้นขึ้นมาในอดีตชาติพบว่าพ่อเดชนั่งท่องมนต์มาหลายวันก็สวมกอดร่างของเธอเอาไว้แน่น พ่อเดชไม่สนใจว่าเธอเป็นใครมาจากไหนและบอกว่าจะรักเธอตลอดไป นักแสดงนักแสดงหลัก
นักแสดงรับเชิญ
งานสร้างบทละครบุพเพสันนิวาส เป็นละครรักที่อิงประวัติศาสตร์ ช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สร้างจากบทประพันธ์ของรอมแพง ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2552[1] สร้างโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ผู้สร้างละครเห็นว่า นวนิยาย เนื้อเรื่องโดดเด่น สนุกสนาน ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างยุค ยังมีเรื่องรักโรแมนติก บวกกับการได้เจอประวัติศาสตร์มีชีวิต ผ่านการใช้ชีวิตกับบุคคลในประวัติศาสตร์ยุคนั้น และยังได้เปิดลงโหวตว่า อยากให้นำนวนิยายเรื่องใดมาสร้างเป็นละคร ผลปรากฏว่าเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง จากนั้นได้ผู้เขียนบทคือ ศัลยาหรือ ศัลยา สุขะนิวัตติ์ ที่เคยเขียนบทละครดังอาทิ นางทาส, คู่กรรม, ดอกส้มสีทอง, ดอกโศก, แค้นเสน่หา, ภาพอาถรรพณ์ และ ทรายสีเพลิง นอกจากนั้นยังเคยเขียนบทละครย้อนยุคอย่าง รัตนโกสินทร์ และ สายโลหิต ศัลยาออกปากว่าเป็นบทที่ยากมาก เพราะถึงจะมีโครงบทประพันธ์ แต่ผู้เขียนบทต้องไปศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเกร็ดประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งบทสนทนา ทำให้ละครมีเนื้อเรื่องที่ยาวกว่าหนังสือเสียอีก[2] หลายตัวละครในเรื่อง มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แต่จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ก็มีเพียงเค้าโครงเท่านั้น ศัลยาจึงกำหนดขึ้นเองให้สอดคล้อง ตราบเท่าที่มีข้อมูล ส่วนที่ยากอีกส่วนคือ ในการเขียนบทละครคือ การวางฉาก คำพูด การแก้ปัญหาความขัดแย้งในละคร กว่าจะเป็นบทละครเรื่องนี้ ต้องเขียนถึงร่างที่ 7 ซึ่งเป็นร่างสุดท้าย[3] โดยใช้เวลาเขียนบทละครนาน 2 ปี[2] และใช้เวลาถ่ายทำนาน 2 ปี[4] และเพื่อความสมจริงทางประวัติศาสตร์ ก็ได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาคือ เผ่าทอง ทองเจือ และ วิโรจน์ ศรีสิทธิ์เสรีอมร[5] การคัดเลือกนักแสดงบรอดคาซท์เลือกผู้กำกับการแสดงคือ ภวัต พนังคศิริ เพราะเห็นว่ากำกับละครได้หลายแนว และยังเคยทำละครย้อนยุคอย่าง บ่วง ภวัตมีความละเอียดในการถ่ายทำซึ่งเหมาะกับ บุพเพสันนิวาส ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยรายล้อมมากมาย สำหรับการคัดเลือกนักแสดงนั้น การเลือก ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาเป็น หมื่นสุนทรเทวา เพราะเห็นว่า มีบุคลิกดูอบอุ่นเข้ากับบุคลิกพระเอก สำหรับบทนี้ เคยวางไว้ว่าเป็น เจษฎาภรณ์ ผลดี ขณะที่ราณี แคมเปน มารับบทเกศสุรางค์และแม่หญิงการะเกด เพราะมองว่าน่าจะเล่นบทบาทเป็นหลายคน หลายบุคลิกได้[2] แต่ก่อนหน้านั้น บทนี้เคยวางตัวให้อารยา เอ ฮาร์เก็ต เป็นผู้แสดง[6] แต่ปฏิเสธไป เนื่องจากโตเกินบท ต่อมาผู้สร้างทาบทาม ณฐพร เตมีรักษ์ แต่ท้ายสุดบทนี้ตกเป็นของ ราณี แคมเปน[7] ละครเรื่องนี้ยังได้นักแสดงอาวุโส บรรเจิดศรี ยมาภัย ในวัย 93 ปี มาแสดงเรื่องนี้ เนื่องจากอยู่ในวัยชรา ผู้กำกับละครจึงบอกไม่ต้องท่องบท ใช้วิธีบอกบทเหมือนละครโทรทัศน์ยุคแรก ๆ[8] การถ่ายทำในการถ่ายทอดละครจากบทประพันธ์และบทละครมาเป็นละคร ผู้กำกับยังหาข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากบทละคร สิ่งที่ภวัต ว่ายากคือการตีความความรู้สึกและเป็นกลางที่สุดในฉากประวัติศาสตร์ โดยตนตั้งใจที่สร้างคาแร็กเตอร์ในตัวละคร ให้คนดูจำและสัมผัสได้ ถึงแม้ว่าจะมาเพียงนิดเดียว เช่น ฉากที่พระเพทราชาและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เถียงกันกลางท้องพระโรง หรือ อย่างฉากที่คลังสินค้าของอังกฤษถูกเผา ซึ่งในนวนิยายเขียนว่า ขุนเรือง หลวงสรศักดิ์ เป็นคนไปเผา จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทำไมเผา ใครเป็นคนเผา ถึงแม้ในข้อมูลจะไม่ได้บอกว่าใครเผา แต่ก็ต้องหาเหตุผลให้คนดูยอมรับได้[9] ในการเนรมิตฉากต่าง ๆ ในสมัยอยุธยา มีการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างหนัก ทำเป็นสตอรีบอร์ดก่อนถ่ายทำ โดยสถานที่ถ่ายทำที่มีอยู่จริง เช่น กำแพงเมือง หรือวัดไชยวัฒนาราม ก็เก่าแก่ ต้องทำขึ้นใหม่ให้เหมือนบทประพันธ์ ส่วนฉากที่ไม่หลงเหลือแล้ว ก็สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยเทคนิคการสร้างภาพ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบฉากที่ต้องสวยและถูกต้องตามประวัติศาสตร์ ตัวอย่างเช่น เรือนไทย ที่เป็นฉากหลักก็ดูหรูหราเหมาะกับตำแหน่งของครอบครัวพระเอก มีข้าวของ ตามแบบยุคอยุธยาวางอยู่ นอกจากนั้น ในฉากที่สะท้อนวัฒนธรรม เช่น ฉากการทำขนมหวาน ก็เชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการทำขนมไทยโบราณมาทำให้ หรือฉากคุณหญิงจำปาสอนการเรือนการะเกด ก็ได้เห็นผักแกะสลักอลังการ นอกจากนั้นยังมีฉากที่ลงทุนแรงงานสร้างอย่างมากเช่น ฉากตลาดจีน ที่สร้างทั้งตลาดขึ้นมาเพื่อการถ่ายทำจริงฉากเดียว ใช้เวลาถ่ายในสตูดิโอ 2 วัน แต่ออกมาเพียง 2 นาที รวมถึงฉากท้องพระโรงที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงรับพระราชสาส์นจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ที่ทางค่ายตั้งใจสร้างออกมาให้สวยเหมือนภาพในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เรียนกัน สถานที่ถ่ายทำในเรื่องฉากอื่น เช่น เมืองโบราณ ฉากในเรือ พายเรือ มีการสร้างท่าน้ำขึ้นมาใหม่ในช่อง 3 หนองแขม[4] เครื่องแต่งกายและดนตรีประกอบส่วนเครื่องแต่งกายตัวละคร ผู้ออกแบบชุดแต่งกายคือ กิจจา ลาโพธิ์ ที่เคยออกแบบให้ละครเรื่อง ขุนศึก, ลูกทาส, ข้าบดินทร์ กิจจาที่ได้ออกแบบจากการค้นคว้าข้อมูลจากบันทึกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม พงศาวดาร ภาพเขียนจิตรกรรม สมุดข่อย สมุดไทย หรือแม้แต่ตู้พระธรรมเขียนลายทองเก็บหนังสือใบลาน[10] โดยได้ออกแบบใหม่หมดตั้งแต่สี ลายผ้า เครื่องประดับจนถึงหัวเข็มขัด ตามบุคลิกตัวละครและตามยศศักดิ์[2] ผู้หญิงใส่สไบ ใส่เครื่องทอง มีทั้งโจงกระเบน เสื้อคอตั้ง เสื้อแขนกระบอก การแต่งกายในวาระต่าง ๆ ด้วย มีการออกแบบลายผ้าขึ้นมาใหม่ และชุดแต่งงานเครื่องทอง งบประมาณการจัดสร้างชุดแต่งกายสำหรับการถ่ายทำประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าละครเชิงประวัติศาสตร์ทั่วไป 2–3 เท่า[11] นอกจากนี้ ทรงผมแต่ละคนก็อ้างอิงจากทรงผมจริงสมัยอยุธยา[4] ดนตรีประกอบมีทั้งขลุ่ย ซออู้ ขิม ซึ่งได้ผู้เล่นดนตรีไทยฝีมือระดับครูมาทำดนตรีประกอบให้[4] การตัดต่อเนื่องจาก บุพเพสันนิวาส ประสบความสำเร็จอย่างสูงทำให้ช่อง 3 ประกาศทำ บุพเพสันนิวาส ฉบับพิเศษ ออกอากาศต่อเนื่องในวันที่ 12, 18 และ 19 เมษายน พ.ศ. 2561 จำนวน 3 ตอน สำหรับฉบับพิเศษนี้เป็นการตัดต่อย่อจากฉบับเดิม เล่าเรื่องราวความรักที่เริ่มจากความเกลียดชังจนกลายเป็นความรักในมุมมองของการะเกดและพ่อเดช และเพิ่มภาพเบื้องหลังการถ่ายทำนานขึ้นกว่าเดิมด้วย[12] หลังจากนั้น 1 เดือน สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ก็นำ บุพเพสันนิวาส มารีรันซ้ำอีกครั้งในช่วงละครเย็นต่อจากละครเรื่องก่อนหน้าอย่าง Mr.Merman แฟนฉันเป็นเงือก โดยออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 19.05–20.05 น. และวันศุกร์ เวลา 18.45–19.45 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 และออกอากาศตอนสุดท้ายในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2561 โดยละครเรื่อง นักสู้เทวดา ออกอากาศเป็นเรื่องถัดไป การออกอากาศครั้งนี้ได้มีการตัดต่อเนื้อหาใหม่ทั้งหมดโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เปลี่ยนไตเติลเป็นคอนเซ็ปต์ สุริยัน-จันทรา พร้อมเรียบเรียงซาวน์ประกอบและเพิ่มฉากที่ถูกตัดออกไปในการออกอากาศครั้งแรก จนกลายเป็นฉบับสมบูรณ์ที่สุด ใช้ชื่อว่า บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cut [13] ต่อมาในช่วงท้ายปี พ.ศ. 2562 สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ก็นำ บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cut มารีรันซ้ำอีกครั้งในช่วงละครหลังข่าวส่งท้ายปี พ.ศ. 2562 ต้อนรับปี พ.ศ.2563 โดยออกอากาศตลอดสัปดาห์ต่อเนื่อง 16 วันรวด จันทร์-ศุกร์ เวลา 20.20-22.35 น. และเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.15-22.30 น. นำเสนอเป็นตอนแรกในวันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และออกอากาศตอนจบในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2563[14] และอีกครั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 ที่ ช่อง 3 เอชดี นำ บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cut มารีรันอีกครั้งในช่วงละครเย็น เพื่อต้อนรับละครภาคต่ออย่าง พรหมลิขิต ที่จะออกอากาศในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ.2566 โดยออกอากาศต่อจากละครเรื่องก่อนหน้าอย่าง นรสิงห์ และออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00-20.00 น. นำเสนอเป็นตอนแรกในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566 และในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2566 ออกอากาศเป็นตอนที่ 40 (ตอนจบ) รวมทั้งสิ้นแล้ว บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม มีทั้งหมด 40 ตอน[15]โดยละครเรื่อง เจ้าสาวบ้านไร่ ออกอากาศเป็นเรื่องถัดไปในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2566 เป็นต้นไป เพลงประกอบเพลงประกอบละคร "บุพเพสันนิวาส" มี 4 เพลงคือเพลง "เพียงสบตา" ขับร้องโดย ศรัณย์รัชต์ ดีน แต่งเพลงโดย ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ เพลงนี้ลิเดียได้ออกแบบการร้องผสมผสานความเป็นไทยเข้าไปในเพลงด้วย อีก 3 เพลงคือเพลง "ออเจ้าเอย" ขับร้องโดย พีท พล, เพลง "เธอหนอเธอ" ขับร้องโดย แนน วาทิยา, เพลง "บุพเพสันนิวาส" ขับร้องโดย ศรัณยู วินัยพานิช แต่งเพลงโดย วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ โดยเพลง "บุพเพสันนิวาส" เป็นเพลงหลักของเรื่องที่สื่อเนื้อหาถึงสายใยความรัก ความผูกพันของคู่รักที่เกิดมาเคียงคู่กันเปรียบดั่งเป็นบุพเพสันนิวาส ส่วนเพลง "ออเจ้าเอย" ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ ผู้บริหารค่ายเพลง Chanderlier Music ให้ วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ แต่งหลังจากคำว่า "ออเจ้า" เป็นคำพูดติดปากกันทั่วเมือง[16] มีรูปแบบการร้องที่มีการเอื้อนเอ่ยแบบเพลงไทยเดิม ภาคดนตรีที่มีท่วงทำนองแบบไทยร่วมสมัยและมีเสียงซอสีคลอไปตลอดทั้งเพลง เพลงประกอบละครบุพเพสันนิวาสนอกจากจะโด่งดังใน ประเทศไทย แล้ว ใน ประเทศกัมพูชา เพลง "ออเจ้าเอย" ยังขึ้นอันดับที่ 1 บน ไอจูนส์ ตามมาด้วยเพลง "บุพเพสันนิวาส" อยู่อันดับที่ 2 และเพลง "เพียงสบตา" อยู่ในอันดับที่ 5 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561[17] และเพลงที่ 4 "เธอหนอเธอ" ขับร้องโดย แนน วาทิยา ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของแม่หญิงการะเกดที่มีต่อคุณพี่เดช[18] สำหรับบทเพลง "จันทร์" ที่ขับร้องโดย ธณรัฐ ปิ่นเวหา ที่ปรากฏในนิยาย แต่ไม่ปรากฏในละครเนื่องจากติดลิขสิทธิ์จากค่ายต้นสังกัด ทำให้ในละครเปลี่ยนจากร้องเพลง "จันทร์" มาร้องเพลง "ออเจ้าเอย" แทน[17] นอกจากนี้ยังมีเพลง "ออเจ้าเอย" เวอร์ชันพิเศษที่ขับร้องโดย ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ[19] และ "เธอหนอเธอ" เวอร์ชันพิเศษที่ขับร้องโดย ราณี แคมเปน[20] เพิ่มมาในบุพเพสันนิวาสฉบับพิเศษอีกด้วย ดีวีดีและซีดีดีวีดีของละคร บุพเพสันนิวาส ออกวางจำหน่าย วันที่ 11 เมษายน ดีวีดี 1 ชุดมี 11 แผ่น ประกอบด้วยละคร เบื้องหลังการถ่ายทำ เปิดกองละคร มิวสิกวิดีโอ 4 เพลง รายการ บุพเพสันนิวาสวันละคำ และสมุดภาพ 16 หน้า[21] ส่วนซีดีเพลงประกอบละคร นอกเหนือจากเพลง 4 เพลงที่ประกอบละครแล้วยังมีเพลงบรรเลงพิเศษและแบ็กกิงแทร็ก (backing track) พร้อมรูปภาพนักแสดง Photobook และโปสการ์ดสุ่มรูปนักแสดงนำ 6 แบบ[22]
การตอบรับคำวิจารณ์และความสมจริงแม้ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส จะสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงของผู้ชมเป็นหลัก แต่ก็ยังมีผู้ให้ข้อติติงไว้ ทั้งในเรื่องความสมจริงทางการเมืองและด้านศิลปะวัฒนธรรม วรรษชล ศิริจันทนันท์ นักเขียนจากเดอะโมเมนตัม เอาแนวคิดประวัติศาสตร์การเมืองฝ่ายซ้ายวิเคราะห์ละครเรื่องนี้ไว้ว่า เป็นละครหลังข่าวที่แม้จะยังคงความสนุกและความบันเทิง "แต่ก็ยังมี 'คราบ' ของอุดมการณ์ชาตินิยมและการชื่นชมความสงบสุขของอยุธยาแทรกเข้ามาอยู่เป็นระยะ จนผู้ชมเกิดอารมณ์โหยหาอดีต" โดยวรรษชลโต้แย้งว่า บุพเพสันนิวาส นำเสนอภาพในอดีตที่มองข้ามความขัดแย้งของคนไทยในราชสำนัก โดยนำเสนอว่าสังคมและวัฒนธรรมของอยุธยาเป็นสังคมที่ "สงบสุข ไม่มีการคอรัปชั่น และมีฝรั่งเป็นส่วนเกิน" เพื่อสนองความปรารถนาของผู้ชมบางส่วนซึ่ง "ไม่พอใจในปัจจุบันอันแสนจะวุ่นวาย เต็มไปด้วยการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และไร้ซึ่งความปรองดอง จนเกิดความโหยหาอดีต"[24] นฤเบศ กูโน ผู้กำกับและนักเขียนบทละคร แสดงความเห็นว่าเพราะความสำเร็จของละครเกิดจากบทละครที่ดีและเคมีของนักแสดงที่เข้ากัน ขณะที่วัฒนธรรมการดูละครของคนไทยมีความคล้ายคลึงกับคนเกาหลี คือ ชื่นชอบละครตลก พระนางไม่ถูกกัน มีบทพูดเชือดเฉือน แต่แอบแสดงออกเล็กน้อยว่ารัก[25] ส่วนเว็บไซต์ สนุก.คอม วิเคราะห์ความสำเร็จของละครเรื่องนี้ว่า "สะท้อนให้เห็นสูตรสำเร็จของละคร และการนำเสนอประวัติศาสตร์ไทยผ่านละครแนวใหม่ ที่มีความเข้ากันของพระนางเป็นตัวชูโรง จนสร้างความน่าสนใจในประวัติศาสตร์ไทยให้กับคนรุ่นใหม่ให้หันกลับมามองมากขึ้น"[25] ด้านงานออกแบบงานสร้าง มติชน วิจารณ์ว่า "อยู่ในมาตรฐานดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากที่นำเสนอฉากสมเด็จพระนารายณ์ทรงโน้มกายรับพระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จากเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ ราชทูตฝรั่งเศส ตามรอยภาพวาดโบราณซึ่งหลายคนคุ้นตาเป็นอย่างดี"[26] เนื่องจากเป็นละครที่มีฉากหลังอิงประวัติศาสตร์ จึงได้รับคำวิจารณ์เรื่องความสมจริง ลุพธ์ อุตมะ นักออกแบบเครื่องแต่งกาย วิจารณ์ว่า "เครื่องนุ่งห่มในเรื่องนี้ ในส่วนของชาวสยามมีการวิจัยและจัดทำได้สวยงามเหมาะสม แม้ว่าจะมีการใช้ผ้านุ่งจากประเทศราช และหัวเมืองทางเหนือมาใช้ร่วมด้วย เป็นการสื่อสารได้อย่างดีถึงความสัมพันธ์ของผู้คนและชาติพันธุ์ในสมัยนั้น ทว่าตัวละครที่ไม่ใช่คนสยามนั้นกลับพบว่ามีข้อบกพร่อง เรื่องการออกแบบ การตัดเย็บและการใช้ผ้าที่ถูกลักษณะ"[27] โดยเขาชี้ข้อบกพร่อง อย่างเช่น คอนสแตนติน ฟอลคอน และมาเรีย กีมาร์ เนื่องจากรูปแบบหรือ แพทเทิร์นเป็นแบบสมัยใหม่และผิดสัดส่วนเป็นอย่างมาก กิจจา ลาโพธิ์ หัวหน้าฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งกายในละคร ชี้แจงว่า เสื้อผ้าชาวต่างชาติในละครเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่ง การออกแบบพัฒนาขึ้นจากข้อมูลที่ค้นคว้า และพยายามที่จะทำให้ใกล้เคียงกับความเป็นข้อเท็จจริงมากที่สุด แต่ก็ได้เพิ่มรายละเอียดเพื่อความสวยงามและให้เหมาะสมกับตัวนักแสดง นอกจากนี้ทางสถานีที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ของตัวละครเอกให้ดูแตกต่างจากตัวละครตัวอื่น จึงเป็นเหตุให้ตัวละครเหล่านี้ฟันไม่ดำ[27] พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบข้อผิดพลาดในด้านรายละเอียด ชี้ว่า อย่างฉากที่เห็นป้อมเพชร พิจารณาในช่วงเวลาในบทประพันธ์ และดูหลักฐานชั้นต้นทางประวัติศาสตร์ สภาพของป้อมน่าจะทรุดโทรมมาก หรือไม่ก็ กำลังได้รับการปรับปรุงโดยนายช่างฝรั่งเศสชื่อ เดอ ลามาร์[27] การสำรวจความเห็นจากการสำรวจแบบสอบถามสวนดุสิตโพล จำนวนทั้งสิ้น 1,272 คนระหว่างวันที่ 10–14 เมษายน พ.ศ. 2561 สำรวจเรื่อง "ละคร บุพเพสันนิวาส ในทัศนะประชาชน" จากหัวข้อประชาชนคิดอย่างไร กับละคร บุพเพสันนิวาส โดยอันดับ 1 เห็นว่าละคร สนุกสนาน ให้ทั้งข้อคิดและความบันเทิง[28] จากการสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล จำนวนทั้งสิ้น 1,185 คน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10–16 มีนาคม เมื่อสอบถามถึงตัวละคร บุพเพสันนิวาส ที่แสดงได้ดีที่สุด พบว่า ร้อยละ 54.4 ระบุราณี รองลงมาคือร้อยละ 21.1 ระบุธนวรรธน์[29] กระแสตอบรับในต่างประเทศนอกจากจะได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยแล้ว ละคร บุพเพสันนิวาส ยังโด่งดังในซินล่างเวย์ปั๋ว หรือสื่อสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของจีนอีกด้วย[30] โดยมีการกล่าวถึง บุพเพสันนิวาส ในแฮชแท็ก 泰剧天生一对 จนขึ้นเทรนด์อันดับ 1 มียอดผู้ชมชาวจีนดูละคร บุพเพสันนิวาส แบบสดออนไลน์ผ่านทางช่อง HBO กว่า 100,000 คน[31] และมีการทำซับไตเติลภาษาจีนให้ละครเรื่องนี้ทั้งที่ยังไม่ได้ซื้อขายลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการและไม่มีการโปรโมตแบบเต็มตัว[32] ยิ่งไปกว่านั้นหลังละคร บุพเพสันนิวาส จบไปสามสัปดาห์ แฮชแท็ก 泰剧天生一对 ก็ยังคงทะยานขึ้นอันดับ 1 ในเวย์ปั๋ว อีกครั้งด้วยยอดวิวสูงกว่า 900 ล้านครั้ง[33][34] ประเทศกัมพูชาได้ซื้อลิขสิทธิ์ละคร บุพเพสันนิวาส ไปแพร่ภาพแล้ว โดยจะออกอากาศทางช่อง PNN TV ใช้ชื่อเรื่องว่า បុព្វេសន្និវាស เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 2 รอบ เวลา 18.00–19.00 น. และ 22.00–23.00 น.[35] ปี 2562 บุพเพสันนิวาส เป็น 1 ในละคร 8 เรื่องที่ออกอากาศบนสถานีโทรทัศน์ประเทศเกาหลีใต้ บนสถานี TVA PLUS และ SMILE PLUS[36] ออกฉายทางช่อง RTV (Rajawali TV ฟรีทีวีของอินโดนีเซีย), ทางสถานีโทรทัศน์ TVB J2 ที่รับชมได้ในฮ่องกงและมาเก๊า, สถานีโทรทัศน์ TVA Plus (เพย์ทีวีในเกาหลีใต้) และทางออนไลน์ทางช่อง Dim Sum ของมาเลเซีย นอกจากนั้นยังมีอยู่ในเน็ตฟลิกซ์ ที่รับชมได้ในประเทศอินเดีย, ญี่ปุ่น, เนปาล, ลาว, มาเลเซีย, มองโกเลีย, พม่า, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา, ไต้หวัน และ เวียดนาม[37] ผลสืบเนื่องจากความโด่งดังของละคร ทำให้มีการจัดทัวร์การท่องเที่ยว เช่น ที่วัดไชยวัฒนาราม รวมถึงโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ก่อนละครออกอากาศ วันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว 800–900 คนต่อวัน แต่หลังละครออกอากาศ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็นเฉลี่ยวันละ 4,000 คน ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ เดิมมีนักท่องเที่ยวราว 3,300 คน เมื่อละครออกอากาศ เพิ่มขึ้นเป็น 18,300 คน[38] นักท่องเที่ยวยังนิยมแต่งชุดไทยมายังสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้[39] เช่นเดียวกับที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นถึงวันละ 2,000–3,000 คนต่อวัน[40] นอกจากนี้ยังมีการจัดการท่องเที่ยวในสถานที่เป็นฉากของละคร เช่น อยุธยา ลพบุรี โดยมีมัคคุเทศก์เป็นนักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อยุธยา[41] เศรษฐกิจพระนครศรีอยุธยามีการขยายตัว โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดสูงเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ[42] ทางด้านการตลาด ตราสินค้าต่าง ๆ อาศัยเนื้อหาในละครเชื่อมโยงกับตราสินค้า[43] ดังจะเห็นได้จากตราสินค้าและเพจบนเฟซบุ๊กต่าง ๆ เล่นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับละคร แบบการตลาดแบบทันกาล (real-time marketing) เช่นประเด็น หมูกระทะ, กุ้งย่าง, มะม่วงน้ำปลาหวาน, หมูสร่ง, ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง, ออเจ้า ฯลฯ[44] นอกจากผลตอบรับทางการตลาด ตัวละครยังได้รับการต่อยอดออกไปเป็นภาคต่ออีกถึงสองสื่อด้วยกัน สื่อแรก เป็นละครโทรทัศน์เรื่อง พรหมลิขิต เป็นเรื่องราวภาคต่อในรุ่นลูกหลังจากความรักของพ่อเดชและเกศสุรางค์ โดยได้เขียนบทโทรทัศน์เป็น ศัลยา เช่นเดิม เริ่มแรกได้วางตัวผู้กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร ผลิตโดย บีอีซี-มัลติมีเดีย และบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ซึ่งมีกำหนดออกอากาศใน พ.ศ. 2565 แต่ต่อมาได้มีการเลื่อนกำหนดออกอากาศเป็นช่วงท้ายปี พ.ศ.2566 และสื่อที่สอง เป็นภาพยนตร์ภาคต่อเรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 เป็นเรื่องราวในอีกชาติภพหนึ่งเมื่อพ่อเดชและเกศสุรางค์มาเกิดใหม่ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผลิตโดย จีดีเอช ห้าห้าเก้า และจอกว้าง ฟิล์ม ร่วมกับ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น นำแสดงโดยพระนางคู่เดิม คือ ราณี แคมเปน และธนวรรธน์ วรรธนะภูติ กำกับการแสดงโดย อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม เดิมมีกำหนดออกฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2565[45][46] แต่ต่อมาได้เลื่อนไปออกฉายในวันที่ 28 กรกฎาคม ปีเดียวกัน[47] เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 มีการเผยแพร่ บุพเพสันนิวาสเว็บตูน (Love Destiny) ในช่องยูทูบเว็บตูน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอ่านการ์ตูนจากเกาหลี วาดโดยนักวาดจากประเทศเกาหลี[48] จนกระทั่งในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2566 เวลา 20.30-22.00 น. ได้มีการออกอากาศของละครภาคต่อของ บุพเพสันนิวาส ในชื่อ พรหมลิขิต เป็นตอนแรก โดยก่อนหน้านั้นได้มีการออกอากาศรีรันละคร บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director’s cut ในช่วงเย็นระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม-4 ตุลาคม พ.ศ.2566 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00-20.00 น.[15] และต่อมาในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2566 พรหมลิขิต ได้ออกอากาศเพิ่มวันจาก 2 วัน เป็น 3 วันต่อสัปดาห์ ในวันจันทร์-อังคาร-พุธ เรื่อยมาจนถึงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2566 ซึ่งเป็นตอนจบของละครเรื่อง พรหมลิขิต เรตติ้งสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ลงผัง บุพเพสันนิวาส คืนวันพุธและพฤหัส ในช่วงไพรม์ไทม์ เวลา 20.20–22.50 น. กลยุทธ์ที่ช่อง 3 นำมาใช้คือ เนื้อหาละครช่วงแรกมีความยาว 25 นาที เพื่อให้ลงโฆษณาได้อย่างเต็มที่ และค่อย ๆ ลดช่วงละครลงจนเบรกที่ 9 เบรกสุดท้าย ลดเวลาเหลือเพียง 6 นาที เพื่อยึดให้คนดูไว้ให้นานที่สุด[49] ออกอากาศวันแรก เรตติ้งทั่วประเทศจากการสำรวจของ AGB Nielsen ในช่วงละครหลังข่าว เป็นอันดับ 3 มีเรตติ้ง 3.4 เป็นรองอันดับ 1 มือปราบเหยี่ยวดำ ทางช่อง 7 ซึ่งเป็นละครบู๊ มีเรตติ้ง 5.5 และอันดับ 2 เรือนเบญจพิษ ทางช่องวัน ซึ่งอยู่ในช่วงท้ายของละคร มีเรตติ้ง 3.7[50][51] ต่อมาในตอนที่ 2 บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้งทั่วประเทศขึ้นมาอันดับ 2 ยังคงเป็นรอง มือปราบเหยี่ยวดำ แต่เรตติ้งเรื่องดังกล่าวลดลงจาก 5.5 มายัง 4.9 แต่เรตติ้งของ บุพเพสันนิวาส ในกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัดเป็นอันดับ 1 แต่พื้นที่เขตนอกเมืองเป็นรอง มือปราบเหยี่ยวดำ[52] จนในตอนที่ 3 เรตติ้งทั่วประเทศ บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้ง 7.3 แซง มือปราบเหยี่ยวดำ ที่มีเรตติ้ง 5.4[53] เรตติ้งตอนที่ 4 เรตติ้งทั่วประเทศคือ 8.2 มีเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 4 ตอนแรก 5.964 เป็นรองเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 4 ตอนแรกของ นาคี ในปี 2559 ที่ 7.713 เรตติ้งเฉลี่ย 4 ตอนของ บุพเพสันนิวาส มีผู้ชมผู้หญิงถึง 7.707 ส่วนผู้ชาย 4.136[54] จาก 6 ตอนแรก มีเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 8.005 โดยกลุ่มอายุผู้ชม ที่รับชมมากที่สุดใน 6 ตอนแรกคือ 35–39 ปี รองลงมาคือ 40–49 ปี[55] ตอนที่ 7 บุพเพสันนิวาส ยังคงมีเรตติ้งทั่วประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ 14.8 ขณะเดียวกันช่อง 7 มีละครเรื่องใหม่ออกฉายวันแรกเรื่อง ชาติลำชี ซึ่งเป็นละครเพลงแนวบู๊ เปิดตัวที่ 3.6[56] ในตอนที่ 10 ยังมีเรตติ้งทั่วประเทศดีอยู่ที่ 16.0 แม้ทางช่องไทยรัฐทีวีจะถ่ายทอดสดฟุตบอลคิงส์คัพ นัดฟุตบอลทีมชาติกาบองพบฟุตบอลทีมชาติไทย ที่มีเรตติ้ง 3.0[57] ในตอนที่ 11 บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้งทั่วประเทศ 17.4 ได้สร้างสถิติละครที่มีเรตติ้งสุงสุดนับตั้งแต่มีทีวีดิจิตัลในปี 2557[58] หลังจากนั้นเรตติ้งทั่วประเทศหยุดนิ่งอยู่ที่ 17.4 ในตอนที่ 12 และ 13 รวมสามตอนติดต่อกัน[59] ก่อนจะขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 17.9 ในตอนที่ 14 และสำหรับตอนจบ ตอนที่ 15 นั้น มีเรตติ้งทั่วประเทศสูงสุดกว่าทุกตอน ที่ 18.6 หรือมีคนดูเฉลี่ย 12.2 ล้านคน และเรตติ้งเฉลี่ยทุกตอนอยู่ที่ 13.247 หรือมีคนดูเฉลี่ย 8.8 ล้านคนต่อตอน ซึ่งเอาชนะเรตติ้งเฉลี่ยละคร นางชฎา ในปี 2558 ของช่อง 7 ที่ 11.465 และ นาคี ในปี 2559 ของช่อง 3 ที่ 10.927[60] ทำให้ บุพเพสันนิวาส เป็นละครที่ได้รับความนิยมสูงสุดนับตั้งแต่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลเมื่อปี 2558[61] บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cut เรตติ้งเปิดตัวในตอนแรกสูงถึง 6.0[62] เรตติ้งละคร บุพเพสันนิวาส (พ.ศ. 2561)
เรตติ้งละคร บุพเพสันนิวาส Special Editionหลังจากกระแสความสำเร็จของ บุพเพสันนิวาส ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆจนเดินทางมาถึงตอนอวสานในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2561 สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 จึงตอบรับกระแสความนิยมด้วยการประกาศออกอากาศ บุพเพสันนิวาส ตอนพิเศษ หรือ บุพเพสันนิวาส Special Edition ในวันที่ 12, 18 และ 19 เมษายน พ.ศ.2561 ซึ่งเป็นการตัดต่อใหม่ของเรื่องราวความรักของพระ-นางแบบเรียงลำดับ เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเบื้องหลังต่างๆที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อนอีกด้วย[80] โดยเรตติ้งเปิดตัวในตอนแรกได้ไปถึง 10.1
เรตติ้งละคร บุพเพสันนิวาสรีรัน ฉบับจัดเต็ม (Director’s cut) (11 พ.ค.-20 ก.ค. 2561)ตอบรับความสำเร็จด้วยการกลับมาของละครโรแมนติกอิงประวัติศาสตร์อย่าง บุพเพสันนิวาส อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้จะเป็นการตัดต่อเรียงลำดับใหม่อีกครั้งจากผู้กำกับ ภวัต พนังคศิริ โดยการนำฉากที่ถูกตัดออกไปกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อให้เรื่องราวสมบูรณ์ที่สุด เช่น ฉากรุ่นลูกของเกศสุรางค์ รวมทั้งหมด 40 ตอน โดยใช้ชื่อว่า บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cut[82] ออกอากาศวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 19.05 น. และ วันศุกร์ เวลา 18.45 น. โดยตอนแรกออกอากาศในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2561 ได้เรตติ้งเปิดตัวในตอนแรกสูงถึง 6.0[62] และได้เรตติ้งมากที่สุดในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2561 และ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2561 ถึง 6.9[83] โดยในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2561 นำเสนอเป็นตอนจบ ได้เรตติ้งไปที่ 6.1 เฉลี่ยต่อตอนแล้วได้ 5.81[84]
เรตติ้งละคร บุพเพสันนิวาสรีรัน (25 ธ.ค. 2562 - 9 ม.ค. 2563)ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปลายปี พ.ศ. 2562 สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 จึงนำ บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director’s cut กลับมารีรันอีกครั้งเพื่อต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2563 ปีที่ทางสถานีครบรอบ 50 ปีพอดี [85] ซึ่งเป็นการออกอากาศแบบต่อเนื่อง (Non Stop) ทั้งหมด 16 วันรวด โดยออกอากาศตอนแรกในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ได้เรตติ้งเปิดตัวที่ 3.4[86] และได้เรตติ้งสูงที่สุดถึง 7.5 ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563[87] และปิดท้ายตอนจบอย่างสวยงามด้วยเรตติ้ง 6.7 ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2563 เฉลี่ยต่อตอนได้ 5.77[87]
เรตติ้งละคร บุพเพสันนิวาสรีรัน (10 ส.ค. - 4 ต.ค. 2566)เพื่อต้อนรับละครภาคต่อที่ผู้ชมรอคอยอย่าง พรหมลิขิต ที่กำลังจะออกอากาศในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 ช่อง 3 เอชดี จึงนำละครปฐมบทของเรื่องราวต่างๆอย่าง บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director’s cut ทั้งหมด 40 ตอน เช่นเดียวกับครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2561 กลับมารีรันอีกครั้ง[88] เพื่อให้ผู้ชมได้ทบทวนความจำและเตรียมความพร้อมสำหรับละครภาคต่ออย่าง พรหมลิขิต โดย บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม ออกอากาศในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ได้เรตติ้งเปิดตัวที่ 2.4[89] และได้เรตติ้งมากที่สุดในวันที่ 27 และ 29 กันยายน พ.ศ. 2566 ที่ 5.8[90] โดยตอนจบได้เรตติ้งทั่วประเทศที่ 4.9 เฉลี่ยต่อตอนแล้วได้ที่ 4.85[90]
ภาคแยกมีการผลิตภาคแยกของ บุพเพสันนิวาส เป็นละครชุด พรหมลิขิต และภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส 2
รางวัลและการเสนอชื่อเข้าชิง
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia