บริการสุขภาพในประเทศอินเดีย![]() รัฐธรรมนูญอินเดียระบุมุมมองต่อ บริการสุขภาพในประเทศอินเดีย (อังกฤษ: Healthcare in India) ว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลประจำรัฐและดินแดนสหภาพ มากกว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของรัฐบาลส่วนกลาง ในรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้รัฐทุกรัฐมีความรับผิดชอบที่ต้อง "ยกระดับการได้รับสารอาหารและมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนในรัฐ และเพิ่มพูนการสาธารณสุขเป็นหนึ่งในหน้าที่หลัก" ("raising the level of nutrition and the standard of living of its people and the improvement of public health as among its primary duties")[2][3] นโยบายสุขภาพแห่งชาติ (The National Health Policy) ได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภาอินเดียในปี 1983 และมีการปรับปรุงแก้ไขในปี 2002 และอีกครั้งในปี 2017 ข้อแก้ไขสี่ประการสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปในฉบับปรับปรุงปี 2017 ระบุถึงความจำเป็นที่ต้องมุ่งเน้นไปที่ภาระที่เพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อ, ภาวะฉุกเฉินของอุตสาหกรรมบริการสุขภาพที่กำลังเติบโต, กรณีของค่าใช้จ่ายที่ไร้เสถียรภาพจากค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่กำลังเพิ่มขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติที่จะช่วยพยุงความสามารถทางการเงินของการสาธารณสุขได้[4] อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้วกลับเป็นส่วนบริการสุขภาพของเอกชนที่เป็นผู้รับผิดชอบการบริการสุขภาพส่วนใหญ่ของประเทศอินเดีย และค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยหรือครอบครัวของผู้ป่วยโดยตรงมากกว่าที่จะมาจากการทำประกันสุขภาพ[5] Government health policy has thus far largely encouraged private sector expansion in conjunction with well-designed but limited public health programmes.[6] เมื่อปี 2018 รัฐบาลอินเดียได้เปิดตัวโครงการประกันสุขภาพโดยรัฐ (government-funded health insurance) ภายใต้ชื่อ อายุษมัน ภารต (Ayushman Bharat) ธนาคารโลกระบุว่าค่าใช้จ่ายส่วนการแพทย์ของประเทศอินเดียคิดเป็น 3.89% ของจีดีพีประเทศ (ปี 2015)[7] จากใน 3.89% เป็นค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของรัฐบาลคิดเป็น 1% ของจีดีพีเท่านั้น[8] ในขณะที่ค่าใช้จ่ายโดยผู้ป่วยเอง (out-of-pocket) คิดเป็นอัตราส่วน 65.05% ของค่าใช้จ่ายทางการแพทย์รวมในปี 2015[9] ระบบบริการสุขภาพบริการสุขภาพของรัฐบริการสุขภาพของรัฐนั้นไม่มีค่าใช้จ่ายและให้การสนับสนุนโดยรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน (below the poverty line)[10] ส่วนงานสาธารณสุขอินเดียคิดเป็น 18% ของการบริการผู้ป่วยนอก (Ambulatory care) ทั้งหมด และเป็น 44% ของการบริการผู้ป่วยใน[11] ประชาชนชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในอินเดียมีแนวโน้มที่จะใช้บริการสุขภาพสาธารณะของรัฐต่ำกว่าประชาชนที่มีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ต่ำกว่า[12] นอกจากนี้ยังพบว่าสตรีและผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะใช้บริการสุขภาพสาธารณะมากกว่า[12] ดั้งเดิมแล้วระบบสาธารณสุขของอินเดียพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือและให้บริการทางการแพทย์แก่ปนะชาชนทุกคนโดยไม่สนใจวรรณะหรือสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ[13] อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาระหว่างระบบบริการสุขภาพสาธารณะกับของเอกชนมีความแตกต่างกันสูงมากในแต่ละรัฐของประเทศอินเดีย จากการสำรวจพบว่าครัวเรือนกว่า 57% ทั่วประเทศเห็นตรงกันว่าที่เลือกใช้ระบบบริการสุขภาพของเอกชนมากกว่าที่จะของสาธษรณะเพราะคุณภาพการบริการสุขภาพของสาธารณะอินเดียนั้นอยู่ในระดับที่แย่ (poor)[14] สาเหตุหนึ่งเนื่องด้วยการบริการสุขภาพสาธารณะจำนวนมากนั้นให้บริการในพื้นที่ชนบท และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ต่างก็ไม่เต็มใจหรือไม่อยากที่จะไปประกอบอาชีพในพื้นที่ห่างไกล บุคลากรทางการแพทยฺส่วนใหญ่ในระบบของการดูแลสุขภาพสาธารณะจึงเป็นแพทย์ใช้ทุน (intern) ที่ประสบการณ์ไม่สูงและขาดแรงจูงใจในการทำงานที่ถูกบังคับต้องมาใช้ทุนในส่วนบริการสุขภาพสาธารณะเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดในการศึกษาแพทยศาสตร์เท่านั้น จึงส่งผลให้ระบบการดูแลสุขภาพสาธารณะของอินเดียในระดับชาติอยู่ในคุณภาพที่ต่ำ เหตุผลใหญ่อื่น ๆ รวมถึงระยะทางระหว่างโรงพยาบาลรัฐกับพื้นที่อยู่อาศัย, เวลารอพบแพทย์ที่นาน และเวลาในการให้บริการที่ไม่สะดวกหรืออำนวยต่อผู้ป่วย[14] หลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2014ซึ่งได้นเรนทระ โมทีมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดีย รัฐบาลได้เปิดตัวแผนการสร้างระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (universal health care) ในระดับชาติขึ้นภายใต้ชื่อ ส่วนงานประกันสุขภาพระดับชาติ (National Health Assurance Mission) ซึ่งจะทำให้ประชาชนทุกคนได้รับยารักษาโรคและการรักษาทางการแพทย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมถึงประกันสุขภาพสำหรับกรณีร้ายแรงต่าง ๆ [15] ในปี 2015 การดำเนินงานของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องชะงักลงด้วยความกังวลเกี่ยวกับงบการคลัง[16] ในปี 2018 รัฐฐาลได้ประกาศโครงการ อายุษมัน ภารต (Ayushman Bharat) ที่จะครอบคลุมประชากรยากจนกว่าหนึ่งร้อยล้านครอบครัว (คิดเป็นประมาณ 500,000,000 คน – 40% ของงประชากรทั้งประเทศ) ซึ่งจะใช้ค่าใช้จ่ายกว่า 1.7 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี การจัดหาเงินทุนบางส่วนอาจมาจากภาคเอกชน[17] บริการสุขภาพของเอกชน![]() นับตั้งแต่ปี 2005 บริการสุขภาพส่วนใหญ่ของประเทศอินเดียอยู่ในการดูแลของบริการสุขภาพเอกชน หรือจากโครงการร่วมกับภาคเอกชน สถานพยาบาลทั้งประเทศคิดเป็นโรงพยาบาลเอกชน 58%, เตียง 29% ในทุกสถานพยาบาล และแพทย์ 81% ของทั้งประเทศทำงานให้กับสถานพยาบาลเอกชน[11] ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพครอบครัวแห่งชาติ-3 (National Family Health Survey-3) พบว่าบริการสุขภาพส่วนเอกชนคิดเป็นบริการสุขภาพส่วนใหญ่ของประชาชน 70% ในเขตเมือง และ 63% ในชนบท[14] งานวิจัยโดยสถาบัน IMS Institute for Healthcare Informatics เมื่อปี 2013 ทำการศึกษาในกว่า 14,000 ครัวเรือนใน 12 รัฐ พบว่าการใช้บริการสุขภาพของเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมาทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน[18] ส่วนคุณภาพของบริการสุขภาพเอกชนนั้น สัญชัย พสุและคณะ (Sanjay Basu et al.) พบว่าบุคลากรทางการแพทย์ของเอกชนมีแนวโน้มที่จะใช้เวลากับผู้ป่วยต่อคนนานกว่าของภาครัฐ[19] อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่สูงนี้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้ป่วย ส่งผลให้หลายครัวเรือนประสบปัญหาหายนะค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (Catastrophic Health Expenditure) ซึ่งคือค่าใช้จ่ายส่วนบริการสุขภาพของครัวเรือนที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐาน[4] และค่าใช้จ่ายในส่วนเอกชนนั้นกำลังเพิ่มขึ้นตลอดเวลา[20] ครัวเรือนยากจน 35% ของอินเดียประสบกับปัญหาค่าใช้จ่ายสูงนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงภาวะอันตรายของอินเดียในขณะนี้[4] ด้วยค่าใช้จ่ายส่วนสุขภาพของรัฐบาลเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพีลดต่ำลงทุกปี และค่าใช้จ่ายสุขภาพส่วนเอกชนที่พุ่งสูงขึ้น ประชาชนที่ยากจนจึงถูกทิ้งไว้กับตัวเลือกทางการแพทย์ที่น้อยลงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน[4] ประกันสุขภาพของเอกชนในประเทศอินเดียพบมากผ่านแผนการประกันสุขภาพของรัฐบาล ข้อมูลจากธนาคารโลกเมื่อปี 2010 ระบุว่าประชากรอินเดีย 25% มีแผนประกันสุขภาพของตนเอง[21] ในขณะที่งานวิจัยของรัฐบาลอินเดียเมื่อปี 2014 พบว่ามีประชากรแค่เพียง 17% เท่านั้นที่ทำประกันสุขภาพ[22] บริการสุขภาพของเอกชนในอินเดียโดยทั่วไปมักให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพที่ดีกว่าแต่ด้วยราคาที่สูงจนไร้เหตุผล ด้วยว่าอินเดียไม่มีหน่วยงานราชการที่ควบคุมหรือองค์กรทางกฎหมายที่เป็นกลางในการกำกับดูแลการ ประพฤติผิดทางการแพทย์ (medical malpractices) ในรัฐราชสถาน บุคลากรทางการแพทย์ 40% ไม่มีวุฒิแพทยศาสตร์บัณฑิต (medical degree) และ 20% ไม่ได้จบชั้นมัธยมศึกษา[20] เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2012 รายการสัตยเมว ชยเต (Satyamev Jayate) ของนักแสดงชื่อดังอามีร์ ข่าน (Aamir Khan) ได้ออกอากาศตอน "หรือระบบบริการสุขภาพจะต้องการการรักษา?" ("Does Healthcare Need Healing?") ซึ่งพูดถึงประเด็นค่าใช้จ่ายที่สูงอย่างไร้เหตุผลและการประพฤติผิดทางการแพทย์ของโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนในอินเดีย กลุ่มบริษัท นารายันเฮลธ์ (Narayana Health) ผู้ให้บริการสุขภาพเอกชนเจ้าใหญ่ในอินเดียจึงออกโครงการที่จะลดราคาการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจลงที่ 800 ดอลล่าร์สหรัฐเพื่อตอบโต้[23] ดูเพิ่ม
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia