นิสสัน จีที-อาร์
นิสสัน จีที-อาร์ (อังกฤษ:Nissan GT-R)[3] หรือชื่อในทางเทคนิค R35 เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูง เครื่องยนต์ลำหน้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทนิสสัน จากประเทศญี่ปุ่น จีที-อาร์ เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 6 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2007 ที่ประเทศญี่ปุ่น และที่สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2008 ส่วนประเทศอื่นๆ ในเดือน มีนาคม ปี ค.ศ. 2009 ได้รับการออกแบบโดย ชิโร นากามูระ (Shiro Nakamura) นิสสัน จีที-อาร์ จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นรถซูเปอร์คาร์ ไม่กี่คันที่มาจาก ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถเทียบชั้นได้กับ ซูเปอร์คาร์ยี่ห้อดังในยุโรปเช่น เฟอร์รารี่,ลัมโบร์กีนี,ปอร์เช่ เป็นต้น จึงทำให้ภาพพจน์รถยนต์ของญี่ปุ่นดูสูงขึ้นมาก เพราะนิสสันจีที-อาร์ เป็นรถคันเดียวของเยอรมันที่สามารถเป็นรถคูเป้ ที่เร็วที่สุดของโลกได้ เมื่อเทียบกับแต่ก่อนที่ รถจากญี่ปุ่นขึ้นชื่อเป็นรถราคาถูก ด้อยคุณภาพ ไม่สามารถเทียบชั้นได้กับ รถในสหรัฐ และ รถในยุโรป [4]นิสสัน จีที-อาร์ ได้รับการบันทึกในกินเนสบุ๊ค ปี ค.ศ. 2011 ว่า เป็นรถสี่ที่นั่งที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดในโลก (Fastest 0–60 mph acceleration by a four seater production car) แต่ถึงอย่างไรก็ดีปัจจุบันสถิตินี้ถูกลบไปแล้ว โดยเฟอร์รารี่ เอฟ12เบอร์ลิเนตต้า ที่เข้ามาครองอันดับ 1 แทน ประวัติระหว่างปี 2512–2517 และระหว่างปี 2532–2545 นิสสัน ได้ผลิตรถที่มีสมรรถนะสูงที่ต่อยอดมาจาก นิสสัน สกายไลน์ คูเป้ ได้ใช้ชื่อว่านิสสัน สกายไลน์ จีที-อาร์ โดยรถคันนี้ได้พิสูจน์ว่าเป็นสัญลักษณ์ของนิสสัน[5][6] และได้ประสบผลสำเร็จทางด้านชื่อเสียงและรางวัลมากมายไม่ว่าจะอยู่บนถนนหรืออยู่ในสนามแข่ง นิสสัน จีที-อาร์ เป็นรุ่นที่ไม่ได้สร้างอยู่บนพื้นฐานของสกายไลน์อีกต่อไป แต่ได้การวิวัฒนาการมาจากนิสสัน สกายไลน์ จีที-อาร์ (โดนนิสสัน สกายไลน์นั้น เปลี่ยนมาเป็นรถบ้านและได้ขายในชื่อ อินฟินิตี้ จี35) นิสสัน จีที-อาร์ เป็นรถรุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบรูปแบบตัวรถให้คล้ายกับรุ่นสกายไลน์ จีที-อาร์ คือขับเคลื่อนสี่ล้อ เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 6 สูบ และมีไฟท้ายเป็นวงกลมสี่วง ส่วนระบบเลี้ยวทั้งสี่ล้อ HICAS ของสกายไลน์ จีที-อาร์ ได้ถูกถอดออกไป และเครื่องยนต์เก่าของสกายไลน์ จีที-อาร์ RB26DETT ก็ได้ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ VR38DETT.[7] เมื่อจีที-อาร์นั้น ได้ออกแบบให้คล้ายคลึงกับสกายไลน์แล้ว รหัสตัวถึงก็จึงคล้ายกันกับสกายไลน์คือ CBA-R35,[8] หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'R35' (CBA เป็นคำนำหน้าสำหรับมาตรฐานการปล่อยมลพิษ) ซึ่งรหัสนี้เป็นรูปแบบการตั้งรหัสที่คล้ายกันกับสกายไลน์ จีที-อาร์รุ่นก่อนๆ และจีที-อาร์ รุ่นนี้ก็ยังได้รับฉายาตามรุ่นพี่สกายไลน์คือ ก็อตซิลล่า[9] โดยฉายานี้ได้รับการแต่งตั้งให้โดยนิตยสาร Wheels จากประเทศออสเตรเลียในฉบับเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2532 คอนเซ็ปต์รถคอนเซ็ปต์ของจีที-อาร์ มี 2 คันที่ได้แสดงให้ชมในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ก่อนที่จะเผยโฉมจริง คอนเซ็ปต์แรกนั้นได้ไปแสดงที่งานโตเกียว มอเตอร์โชว์เมื่อปี ค.ศ. 2001 โดยคอนเซ็ปต์แรกของจีที-อาร์นั้นมีรูปร่างที่ทันสมัยเพื่อให้ทราบว่าจีที-อาร์ในศตวรรษที่ 21 จะมีการออกแบบคล้ายๆ แบบนี้[10] ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ที่งานโตเกียว มอเตอร์โชว์ นิสสันได้เผยโฉมคอนเซ็ปต์จีที-อาร์รุ่นที่ 2 โดยนิสสันได้กล่าวว่าจีที-อาร์เวอร์ชันผลิตจริงจะมีพื้นฐานและรูปร่างคล้ายกับคอนเซ็ปต์นี้ประมาณ 80–90%[11] โฉมผลิตจริงรุ่นโฉมผลิตจริงโฉมผลิตจริงของจีที-อาร์นั้น ได้เปิดตัวครั้งแรกในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ ปี ค.ศ. 2007 และเริ่มทำการตลาดในตลาดญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 เดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 หลังจากทำการตลาดที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 6 เดือน ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้เริ่มทำการตลาดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 ส่วนประเทศแคนาดาได้ทำการตลาดในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 และประเทศฝั่งยุโรปได้ทำการตลาดเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 การออกแบบShirō Nakamura หัวหน้าแผนกการออกแบบของนิสสัน ได้ทำให้จีที-อาร์รุ่นนี้มีลักษณะคล้ายไจแอนท์โรบอตจากการ์ตูนเรื่องกันดั้ม[12] Nakamura ได้กล่าวไว้ว่า: "จีที-อาร์เป็นรถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากไม่ได้มีการลอกเลียนการออกแบบแบบรถสปอร์ตฝั่งยุโรป และรถรุ่นนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง" โพลีโฟนีดิจิตัล สตูดิโอผู้สร้างเกมแข่งรถ แกรนทัวริสโม ได้ถูกจ้างให้มีส่วนร่วมในการออกแบบหน้าจอมัลติฟังก์ชันของนิสสัน จีที-อาร์[13] 2017 ปรับโฉมบริษัท นิสสัน มอเตอร์ เปิดตัวรถสปอร์ตตัวแม่ GT-R ใหม่ โมเดล 2017 เปิดตัวครั้งแรกที่งาน New York International Auto Show (NYIAS) Nissan GT-R เปิดซูปเปอร์คาร์สู่ตลาดในปี 2007 ดีไซน์ภายนอกสำหรับ นิสสัน GT-R ได้รับการปรับโฉมใหม่ให้ทันสมัยขึ้น แต่ก็มีเค้าเดิมที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ กระโปรงและกระจังหน้าเงาด้านแบบวีโมชั่นใหม่ ใหญ่ขึ้นเพื่อระบายความร้อน เปลี่ยนลายกระจังเป็นช่องถี่มากขึ้น ส่วนล่างของกันชนทั้งด้านหน้าและหลัง ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด ได้กลิ่นรถแข่งมาแต่ไกล โครงสร้างตัวถัง การออกแบบให้อากาศไหลผ่านได้ดีขึ้น มีช่องระบายอากาศด้านข้าง ถัดไปจากปลายท่อไอเสีย โดยไฟท้ายแบบนิสสันรูปวงแหวน 4 ดวง ถูกต้องตามหลักแอร์โรไดนามิกส์ สำหรับเครื่องยนต์ใส่วี 6 ขนาด 3.8 ลิตร กำลัง 565 แรงม้า ม้าเพิ่มมา 20 ตัว จากรุ่นก่อน GT-R 2016 ที่มี 545 แรงม้า และระบบเทอร์โบคู่ ระบบเกียร์แบบดูอัลคลัทช์ 6 สปีด ระบบระบายไอเสียเป็นท่อไอเสียใช้ไทเทเนียม ดีไซน์ภายในห้องโดยสาร GT-R 2017 แผงคอนโซลหน้า และหน้าปัดใช้วัสดุหนังชั้นดี ตัดเย็บด้วยความประณีตโดยทีมช่างฝีมือ Takumi สไตล์ Horizontal Flow มีระบบอินโฟเทนเมนท์รุ่นใหม่ หน้าจอดิสเพลย์แบบทัชสกรีน ขนาด 8 นิ้ว ปรับลดสวิตช์ปุ่มเหลือเพียง 11 ปุ่ม ทำให้การใช้งานง่ายขึ้น รวมถึงแพดเดิ้ลชิฟท์ที่พวงมาลัย Nissan GT-R 2017 ภายในเพิ่มความหรูหราด้วยการใช้หนัง Nappa หุ้มแดชบอรด์ ห้องโดยสารมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ น้ำตาล ราคุดา แทน, แดง แอมเบอร์ เรด และ ครีม ไอวอรี่ สำหรับกำหนดการส่งมอบ Nissan GT-R 2017 ประมาณช่วงกลางปี 2020 ไม่นานเกินรอ... 2017 จีที-อาร์ NISMOนิสสัน เปิดตัว NISSAN GT-R NISMO ปี 2017 สู่ความเหนือชั้นอีกระดับ พร้อมพิสูจน์อีกขีดขั้นของสมรรถนะที่สนามนูร์เบอร์กริง ประเทศเยอรมนี (27 พฤษภาคม 2559) – บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยวันนี้ว่า ทางนิสสัน มอเตอร์ สปอร์ต หรือ NISMO ได้เปิดตัว Nissan GT-R NISMO ใหม่ เวอร์ชันปี 2017 เป็นครั้งแรกที่สนามนูร์เบอร์กริง ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นสนามที่มีชื่อเสียง และได้ชื่อว่าเป็นสนามที่มีระยะทางต่อรอบยาวที่สุด และยังท้าทายที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นสนามแข่งที่นิสสัน ใช้ในการทดสอบ ปรับแต่ง และพัฒนา GT-R ให้มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับรุ่นปกติ Nissan GT-R NISMO ใหม่ เวอร์ชันปี 2017 นั้น ได้รับการปรับแต่งรายละเอียดทั้งภายใน ภายนอก โดยรูปลักษณ์ภายนอกส่วนหน้าของ GT-R NISMO ได้รับการปรับให้โฉมเฉี่ยวขึ้น โดยมีไฮไลท์อยู่ที่กันชนและกระจังหน้าใหม่แบบ V-Motion ที่เป็นโครเมียมรมดำซึ่งถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรับและระบายอากาศได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมในเชิงอากาศพลศาสตร์ของตัวรถ และยังช่วยให้เครื่องยนต์สามารถทำงานอย่างเต็มสมรรถนะ สำหรับฝากระโปรง ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้มีความแข็งแกร่งขึ้นนั้น สร้างความมั่นใจในการขับขี่ในย่านความเร็วสูง โดยจะไม่เกิดการบิดตัวหรือเสียรูป และทำให้ตัวรถคงลื่นไหลไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ได้ในทุกระดับความเร็ว อย่างไรก็ตามความแตกต่างใน Nissan GT-R NISMO ใหม่ คือ กันชน และ สเกิร์ตหน้า ที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ อย่างพิถีพิถันและมีความละเอียด โดยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า TAKUMI ซึ่งชั้นของเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ จะถูกวางทับและเหลื่อมซ้อนกันอย่างระมัดระวังและลงตัว เพื่อให้มาซึ่งความแข็งแกร่ง มากที่สุด โดยการเสริมด้วยชุดแต่งรอบคันของ NISMO ทั้งหมดนี้ จะเพิ่มการไหลของกระแสอากาศรอบคัน พร้อมเพิ่มแรงกด (Downforce) และ ปรับปรุงการไหลของอากาศที่ซุ้มล้อ ทำให้รถมีประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยในภาพรวมนั้น รูปทรงของรถที่ได้ถูกปรับปรุงนี้ สามารถสร้างแรงกดได้มากกว่ารถยนต์ในสายการผลิตรุ่นอื่นๆ ของ Nissan เท่าที่เคยมีมา ทำให้การทรงตัวดีขึ้นอย่างยิ่งยวด ในช่วงความความเร็วสูง ด้านรูปลักษณ์ภายใน ห้องโดยสารของ GT-R NISMO ใหม่ยังคงได้รับการปรับปรุงตามแบบที่รุ่นปกติของ GT-R เวอร์ชันปี 2017 ด้วยสัมผัสและความสะดวกสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แผงหน้าปัด พวงมาลัย และพนักวางแขนตรงกลาง ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยการใช้วัสดุชั้นดีคุณภาพสูงอย่างหนัง Alcantara สำหรับการจัดวางรายละเอียดต่างๆ บนแผงคอนโซลกลาง ได้รับการปรับปรุงใหม่ที่เน้นความเรียบง่าย ด้วยการรวมระบบนำทางและระบบเครื่องเสียง (ลดจำนวนของปุ่มและสวิทช์จากเดิม 27 เหลือเพียงแค่ 11 ปุ่มเท่านั้น) และหน้าจอแบบทัชสกรีนขนาดใหญ่ 8 นิ้ว แสดงผล Icon ของระบบต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ง่ายต่อการมองเห็นและใช้งาน สำหรับปุ่มควบคุมในระบบ Display Command ที่อยู่บนแผงคอนโซลกลางผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยให้การใช้งานทำได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องละมือมาสัมผัสที่หน้าจอซึ่งสะดวกในกรณีที่กำลังขับรถด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ในรุ่น NISMO ความโดดเด่นจะอยู่ที่เบาะนั่งแบบบัคเก็ตซีต ของ Recaro ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิเศษเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ มีการเสริมความสวยงามด้วยหนัง Alcantara สีแดงในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของ NISMO ในด้านสมรรถนะนั้นถือว่าเยี่ยมยอดโดย GT-R NISMO ใหม่ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนสำคัญมาจากโครงสร้างตัวถังที่เสริม ความแข็งแกร่ง (Reinforced Body) ทำให้ทีมวิศวกรสามารถเลือกใช้โช้กอัพ สปริง และเหล็กกันโคลงสำหรับ GT-R NISMO เพื่อเพิ่มแรงกดได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการควบคุมรถที่ดีเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถเห็นได้จากการขับแบบสลา-ลอม และการเข้าโค้ง นอกจากนี้ระบบโช้กอัพแบบปรับระดับได้ของ Bilstein รุ่น DampTronic ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการปรับระดับความหนืดของโช้กอัพให้สอดคล้องกับการขับขี่หลากหลายแบบ ที่ถูกนำมาใช้กับ GT-R นั้น ยังคงมีอยู่ในเวอร์ชัน NISMO แต่มีการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อให้รองรับกับ สมรรถนะของเครื่องยนต์ ให้สามารถถ่ายทอดลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มที่ ขุมพลังของ GT-R NISMO ยังคงใช้เครื่องยนต์ VR38DETT แบบ วี 6 24 วาล์ว ขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่ให้กำลังสูงสุดกว่า 600 แรงม้า มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบคลัตช์คู่ 6 จังหวะ ปรับแต่งในรายละเอียดแบบเดียวกับการแข่งขันของ GT3 ถือเป็นอีกหนึ่งการพัฒนาที่ NISMO ได้สั่งสมจากประสบการณ์ของเวทีมอเตอร์สปอร์ตที่ผ่านมา แต่ละบล็อกจะได้รับการประกอบด้วยมือตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งเสร็จสิ้นภายในห้องพิเศษที่ใช้ประกอบเครื่องยนต์ระดับสูง จากช่างฝีมือระดับสูงสุดของนิสสัน (ที่เรียกว่า TAKUMI) ซึ่งที่ด้านหน้าเครื่องยนต์แต่ละเครื่องจะมีป้ายอะลูมิเนียมแสดงชื่อ TAKUMI ผู้ที่ประกอบเครื่องยนต์นี้อีกด้วย ด้วยสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น GT-R NISMO ใหม่ ยังได้รับการยกระดับในด้านอื่นๆให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถขับขี่ หรือตอบสนองบนเส้นทางที่คดเคี้ยวได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการขับในสนามแข่ง ซึ่งนายฮิโรชิ ทามูระ หัวหน้าทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของโครงการพัฒนา GT-R NISMO และ GT-R กล่าวว่า “GT-R NISMO ได้เน้นย้ำความเป็นตัว ‘R’ ที่สื่อถึงการแข่งขัน (Racing) โดยตัวรถสามารถตอบสนองได้ทุกสนามแข่ง สร้างความตื่นเต้นและความเร้าใจในระดับสูงสุดให้กับผู้ขับ ทำให้ GT-R เวอร์ชัน NISMO รุ่นปี 2017 กลายเป็นรถสปอร์ตที่มีสมดุลที่ดีขึ้น ไม่เพียงแค่ด้านสมรรถนะของรถเท่านั้น แต่ยังให้สัมผัสในทุกๆ ด้านด้วยระดับสูงสุด และนี่คือผลสำเร็จที่ตอบแทนความพยายามอย่างไม่หยุดหย่อนของเราที่จะส่งผ่านความพึงพอใจในระดับสูงสุด ของประสบการณ์ให้แก่ผู้ขับขี่” GT-R NISMO รุ่นปี 2017 มีจำหน่ายด้วยกัน 5 สี โดยได้รับการประกอบที่โรงงานนิสสันใน เมืองโตชิกิ ประเทศญี่ปุ่น ส่วนเครื่องยนต์ นั้นประกอบด้วยมือของยอดฝีมือช่าง ทาคูมิ จากโรงงานนิสสันที่ เมือง โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ข้อมูลเฉพาะทางเทคนิค (สำหรับ EUR spec) เครื่องยนต์ VR38DETT แบบ V6 DOHC ปริมาตรกระบอกสูบ : ซีซี 3,800 แรงม้าสูงสุด 441kW (600PS) / 6,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 652 นิวตัน-เมตร (66.5 กก.- ม.) / 3,600-5,600 รอบต่อนาที ขนาดและน้ำหนัก ความยาวทั้งหมด 4,690 mm ความกว้างทั้งหมด (ไม่รวมกระจกมองข้าง) 1895 mm ความสูง 1,370 mm ระยะฐานล้อ 2,780 mm สำหรับ NISMO เป็นชื่อย่อของ Nissan Motorsports ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ซึ่งตลอดระยะเวลา 32 ปีที่ผ่านมา นิสสันได้ใช้แบรนด์ นิสโม ในการทำกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตจนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเยี่ยม เช่น การกวาดชัยชนะถึง 9 รายการในการแข่งขันระดับโลกเมื่อปี 2558 รวมถึงการแข่งขันรายการซุปเปอร์จีที ที่นิสสันสามารถคว้าแชมป์ทั้งรุ่น GT500 และ GT300 นิสโมมีส่วนสำคัญในการสร้างแบรนด์ของนิสสันให้แข็งแกร่ง ในฐานะแบรนด์ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่ตื่นเต้น เร้าใจ โดยหน้าที่หลักของนิสโมคือ พัฒนาเทคโนโลยีและสมรรถนะสำหรับกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ต และพัฒนา Road Cars หรือรถยนต์ที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยการนำประสบการณ์ แรงบันดาลใจ และเทคโนโลยีจากสนามแข่ง มาใช้ในการพัฒนาสมรรถนะรถของนิสสันมีความเหนือชั้นขึ้นไปอีก ทั้งด้านการดีไซน์ การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ การควบคุมรถ และสมรรถนะ นิสสัน จีที-อาร์50 by Italdesignแผนสำหรับ Nissan และ Italdesign คาดว่าจะเปิดตัวรุ่น GT-R50 ภายในงาน Geneva Motor Show ในเดือนมีนาคม แต่งานได้ถูกยกเลิกจากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า จึงเปลี่ยนแผนในการเปิดตัว รถที่ถูกผลิตจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้นและคันแรกจะถูกส่งมอบให้กับผู้ซื้อในช่วงปลายปีนี้ Nissan GT-R50 By Italdesign ที่จะมีเพียง 50 คันทั่วโลก ซึ่งในแต่ละคันนั้นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อความพิเศษ เนื่องจากรุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษที่เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของ GT-R เมื่อปี 2019 จึงสร้าง GT-R50 By Italdesign ขึ้นมา โดยมีพื้นฐานมาจาก Nissan GT-R R35 Nismo ดังนั้นจึงมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ ขนาด 3.5 ลิตร ที่สร้างขึ้นด้วยมือและได้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์ โดย Nismo ทำให้ได้กำลังสูงถึง 710 แรงม้าและแรงบิด 780 นิวตันเมตร 2020 จีที-อาร์ 50th Anniversary Editionนิสสัน ประเทศไทย ประกาศเปิดตัวนำ Nissan GT-R 50th Anniversary มาจัดแสดง ณ Motor Expo 2019 โดยราคาจะอยู่ที่ 11,300,000 บาท มาพร้อมความหรูหราและสปอร์ต ขนาดเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 300 กม./ชม. ถือว่าเป็นรุ่นพิเศษ ฉลองครบรอบ 50 ปี ของรหัสแรง GT-R 2022 Nissan GT-R Series / จีที-อาร์ T-Specล่าสุด นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย สวมบทเสือปืนไว นำเข้า Nissan GT-R MY2022 โดยแนะนำทั้ง 2 รุ่นเริ่มที่รุ่นพิเศษ T-spec มาจากปรัชญาของจีที-อาร์ ในการเป็นผู้นำ และผู้กำหนดเวลา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากคำว่า “trend” และ “traction” ที่หมายถึงการยึดเกาะถนน ในฐานะผู้กำหนดเทรนด์ จีที-อาร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ล้ำหน้าอยู่เสมอ และมีสมรรถนะของรถในการขับขี่ด้วยการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยม โดยทีมวิศวกรได้มุ่งมั่นทำงานอย่างหนักมาโดยตลอด ดังนั้นรถรุ่นนี้จึงโดดเด่นด้านการยึดเกาะถนนอย่างแท้จริง รุ่นพิเศษ Nissan GT-R T-Spec มาพร้อมสปอยเลอร์หลังแบบคาร์บอนไฟเบอร์ มีตราสัญลักษณ์รุ่น ที-สเปค ลิมิเต็ด อิดิชั่น ที่ด้านหน้าและด้านหลัง ล้ออัลลอยฟอร์จจาก RAYS สีบรอนซ์ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต ขนาด 255/40ZRF20 สำหรับล้อหน้า และ 285/35ZRF20 สำหรับล้อหลัง ส่วนรุ่น Premium Luxury ยังคงเดิมไม่ว่าจะเป็นล้ออัลลอยขนาดใหญ่แบบ Super Light Weight ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต ขนาด 255/40ZRF20 สำหรับล้อหน้า และ 285/35ZRF20 สำหรับล้อหลัง Nissan GT-R MY2022 ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับการรับประกันครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง จะได้รับความอุ่นใจจากบริการหลังการขายแบบเอ็กซ์คลูซีฟของนิสสัน โดยเปิดให้จองแล้ววันนี้ที่นิสสัน กรุงไทย (สำนักงานใหญ่) รามอินทรา กม.4 ผู้จำหน่ายและให้บริการอย่างเป็นทางการตามมาตรฐานศูนย์บริการรถยนต์สมรรถนะสูงของนิสสัน หรือ Nissan High-Performance Center – NHPC โดย Nissan GT-R T-Spec คันแรก พร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าชาวไทยภายในเดือนธันวาคม 2564 และสามารถพบ Nissan GT-R T-Spec ในงาน Motor Expo 2021 และมีราคาจำหน่ายดังนี้ - รุ่น T-spec edition ราคา 12,200,000 บาท - รุ่น Premium Luxury editon ราคา 10,700,000 บาท ยุติการจำหน่ายในรุ่นตลาดส่งออกทำตลาดมายาวนาน 15 ปี โดยไม่มีวี่แววว่าจะมีเจนใหม่มาสานต่อความเกรียงไกรของเจ้าก็อตซิล่าหน้าหยกอย่าง Nissan GT-R R35 ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อเมริกา ยุโรป ไทย และประเทศอื่นๆ เปิดตัว Nissan GT-R MY2022 ไป แต่พอมาต้นปีต่างทยอยหยุดการจำหน่ายเริ่มที่ออสเตรเลียที่หยุดเพราะไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดในส่วนมาตรฐานการชนด้านข้าง มาถึงกลุ่มประเทศยุโรปที่ยุติการขายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเนเธอร์แลนด์หยุดขายเพราะค่าตัวที่สูงไป อิตาลี สเปน ไม่ขายเพราะไม่ผ่านมาตรฐานมลพิษไอเสียที่เข้มวด ส่วนเยอรมนี กับ เบลเยี่ยม ยังขายและอาจเป็นล็อตสุดท้าย เกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นข้อมูลจากสื่อฯ autoblog.nl ในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ระบุว่า ในตอนนี้เหล่าดีลเลอร์ หรือผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Nissan ในทวีปยุโรป ต่างพากันทยอยปิดรับจอง Nissan GT-R กันไปบ้างแล้วด้วยหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นตัวประเทศเนเธอร์แลนด์เอง ที่เลิกขายเพราะรถขายไม่ออก เนื่องจากมีราคาวางจำหน่ายสูงเกินไป (อาจด้วยกำแพงภาษีท้องถิ่น) ส่วนในประเทศอิตาลี ประเทศสเปน และอื่นๆ ก็ต้องเลิกขายเพราะตัวรถไม่ผ่านมาตรฐานมลพิษที่เข้มงวดมากขึ้นในปี 2022 เหลือเพียงประเทศเยอรมัน และเบลเยียมเท่านั้น ที่ยังเปิดรับจองตัวรถรุ่นนี้ แต่คาดว่าอาจเป็นล็อตสุดท้ายแล้ว แต่หากข้ามทวีปมายังประเทศออสเตรเลียเอง เจ้า Nissan GT-R ก็ไม่สามารถทำตลาดในประเทศดังกล่าวได้ด้วยเช่นกัน ทว่าไม่ใช่เหตุผลเรื่องมลพิษ แต่เป็นเหตุผลจากการที่มันไม่ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย ล่าสุดถึงคิวบ้านเกิดที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเว็บไซต์ Nissan ญี่ปุ่นประกาศกลางหน้าเพจ Nissan GT-R โดยตรงว่าเราได้หยุดรับจอง Nissan GT-R MY2022 เนื่องด้วยจำนวนที่ลูกค้าจองมาตรงกับเป้าจำนวนที่ตั้งไว้อย่างพอดี จึงตัดสินใจหยุดรับจองอย่างเป็นทางการและจะดำเนินการส่งมอบอย่างเร็วที่สุด ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่ Nissan GT-R R35 ยังคงถูกวางจำหน่ายและทำตลาดที่นั่นด้วยรถสเป็คโมเดลปี 2022 แต่หลังผ่านเวลาไปแค่เพียง 4 เดือนเศษๆ ตอนนี้ทาง Nissan ประเทศญี่ปุ่น ก็ได้ขึ้นข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ของตนแล้วว่าพวกเขาได้ตัดสินใจปิดการรับจองรถสปอร์ตสมรรถนะสูงคันนี้ เนื่องจาก “ยอดจองเต็มโควต้าการผลิตที่วางแผนจะขายในปีนี้” แล้วเป็นที่เรียบร้อย แน่นอน แม้ GT-R R35 รุ่นปี 2022 ที่มี 2 สเป็คหลักๆ ได้แก่ Premium Edition T-Spec และ Track Edition Engineered by Nismo T-spec จะถูกแบ่งโควต้าการผลิตไปวางจำหน่ายในต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะกับตัวแรกที่ถูกแบ่งโควต้าการผลิต 25 จาก 100 คัน มาวางจำหน่ายในประเทศไทยเรา (ส่วนแบ่งโควต้ามากที่สุดในโลก หากไม่นับประเทศญี่ปุ่น) แต่ก็มีข้อมูลออกมาระบุว่ารถทั้งหมดได้ถูกจับจองจนเต็มโควต้าไปตั้งแต่การเปิดจองในช่วงไม่กี่สัปดาห์แรกนับตั้งแต่เปิดตัวไปแล้วเช่นกัน ส่วนรถ GT-R R35 รุ่นย่อยอื่นๆ เช่น Pure Edition, Black Edition, หรือรุ่นที่มีการเปิดให้ลูกค้าชาวไทยได้จับจองกันพร้อมกับร่าง T-Spec อย่าง Premium Luxury Edition อันที่จริงแล้วมันคือตัวรถรุ่นปี 2021 ซึ่งเบื้องต้น ในตอนนี้ทาง Nissan ประเทศญี่ปุ่น ยังไม่ได้มีการให้ข้อมูลว่าพวกเขาได้ปิดรับจองพวกมันไปด้วยหรือไม่ ? เพราะหน้าเว็บก็ยังคงขึ้นลิสต์รายชื่อของรถรุ่นนี้เอาไว้อยู่ นอกจากนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่แม้จะไม่ได้มีการขายรถ GT-R R35 สเป็คปี 2022 เลยแต่แรก ในปัจจุบันก็ดูเหมือนว่าจะยังคงเปิดรับจองตัวรถรุ่นปี 2021 อยู่ เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่ยังไม่มีการอัปเดตข้อมูลว่าพวกเขาได้ทำการปิดจองตัวรถ Premium Luxury Edition ไปแล้วหรือยัง ? ปรับโฉมครั้งที่ 2 (2024)ปรับโฉมรอบที่ล้าน! Nissan GT-R (R35) Minor Change รุ่นปี 2024 กับการปรับโฉมใหม่และยกระดับการขับขี่ให้ดีขึ้น Nissan GT-R ตัวถัง R35 เปิดตัวที่ญี่ปุ่นครั้งแรกช่วงเดือนธันวาคมปี 2007 จนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 16 แล้ว แต่ ณ ตอนนี้ก็ยังไร้วี่แววของเจเนเรชั่นใหม่ที่มาแทน R35 ซึ่งล่าสุด Nissan ก็ขอทำการปรับโฉมให้ GT-R R35 อีกรอบ ซึ่งถือว่าเป็นการปรับโฉมรอบที่ 3 แล้ว พร้อมยกระดับตัวรถและคุณภาพการขับขี่ให้ดีขึ้นไปอีก และแน่นอนตัวพิเศษ 2 รุ่นคือ Nissan GT-R Premium Edition T-spec และ Nissan GT-R NISMO Special edition ภายนอกมากับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ที่แยกส่วนกระจังหน้าและช่องระบายอากาศกันชนหน้าเหมือนสมัย R34 พร้อมทั้งออกแบบไฟตัดหมอกใหม่เป็นดีเทล 6 เหลี่ยมซึ่งดูทันสมัยขึ้น ส่วนด้านท้ายก็มีการออกแบบกันชนท้ายใหม่ ยิ่งในตัวแรงอย่าง NISMO จะมีการออกแบบทั้งกันชนหน้าและท้ายให้ดุดันกว่าโฉมมาตรฐานเยอะทีเดียว มีช่องระบายอากาศซุ้มล้อหน้าและสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่อีกด้วย ภายในไม่มีการปรับดีไซน์แต่อย่างใด แต่เน้นไปที่การปรับแต่งห้องโดยสารใหม่ โดยเฉพาะในรุ่น NISMO นั้นจะได้เบาะนั่งแบบบัคเก็ตซีทเสริมคาร์บอนที่ด้านหลังใหม่จาก Recaro ปรับเพื่อเพิ่มคุณภาพการขับขี่ ให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถและความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น ส่วนขุมพลังยังคงมีทางเลือก 2 แบบ คือ - โฉมมาตรฐาน : เครื่องยนต์เบนซินรหัส VR38DETT ความจุ 3.8 ลิตร V6 Twin-Turbocharged DOHC ให้พละกำลังสูงสุด 570 แรงม้าที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 637 นิวตันเมตรที่ 3,800-5,800 รอบ/นาที - ตัวแรง NISMO : เครื่องยนต์เบนซินรหัส VR38DETT ความจุ 3.8 ลิตร V6 Twin-Turbocharged DOHC ให้พละกำลังสูงสุด 600 แรงม้าที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 652 นิวตันเมตรที่ 3,600-5,600 รอบ/นาที ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch GR6 พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ การปรับแต่งทางวิศวกรรมอื่น ๆ นั้น รถมีการปรับปรุงแอโร่ไดนามิกใหม่ พร้อมยกระดับคุณภาพการขับขี่ให้ดีขึ้น ปรับปรุงการเก็บเสียงและแรงสั่นสะเทือนให้เข้ามาภายในห้องโดยสารน้อยลงเพื่อเพิ่มความสบายในการขับขี่ ในรุ่น T-Spec จะติดตั้งระบบช่วงล่างแบบพิเศษพร้อมดิสก์เบรกคาร์บอน มอบการขับขี่ที่นุ่มนวลและการตอบสนองการควบคุมที่ดีเยี่ยม GT-R NISMO ใช้เทคโนโลยีการขับขี่แบบรถแข่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการปรับปรุงแอไร่ไดนามิก ปรับช่วงล่าง และเพิ่มเฟืองท้ายลิมิเต็มสลิปบริเวณเฟืองท้ายตัวหน้า พิเศษใน GT-R NISMO Special edition จะมีการใช้ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่มีสมดุลน้ำหนักแม่นยำสูง เช่น แหวนลูกสูบ ก้านสูบ เพลาข้อเหวี่ยง และฝากระโปรงหน้าทำจากคาร์บอนพิเศษเฉพาะของ NISMO ที่เคลือบใส (พร้อมท่อระบายอากาศ NACA ที่ฝากระโปรง) Nissan GT-R ใหม่จะริ่มจำหน่ายช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือประมาณเดือนมีนาคมปีนี้ ส่วนรุ่น NISMO จะวางจำหน่ายช่วงฤดูร้อนหรือกลางปีนี้ สำหรับลูกค้าชาวไทย คาดว่า Nissan บ้านเราก็คงนำเข้ามาขายเช่นเดิม แต่จะมาตอนไหนต้องติดตาม จำนวนที่ผลิตในแต่ละปี
ข้อมูลทางเทคนิค
ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia