ดักมาร์แห่งโบฮีเมีย
ดักมาร์ (เช็ก: Dagmar) หรือ มาร์แกตา (Markéta; ราว ค.ศ. 1186 – 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1212 เมืองรีเบ) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก จากการอภิเษกสมรสกับพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก โดยทรงเป็นพระมเหสีพระองค์แรก พระนางเป็นพระราชธิดาในพระเจ้าปแชมิเซิล โอตาการ์ที่ 1 แห่งโบฮีเมีย ที่ประสูติแต่พระมเหสีองค์แรกคืออาเดิลไฮท์แห่งไมเซิน[1] ช่วงต้นพระชนมชีพพระราชบิดาของเจ้าหญิงมาร์แกตา คือ ปแชมิเซิล โอตาการ์ที่ 1 ทรงเป็นดยุกแห่งโบฮีเมียใน ค.ศ. 1192 แต่ใน ค.ศ. 1193 ทรงถูกปลดจากตำแหน่งจากภัยทางการเมืองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์และราชวงศ์ได้ออกจากโบฮีเมีย พระชายาของพระองค์คือ อาเดิลไฮท์แห่งไมเซิน และพระโอรสธิดาได้ไปประทับที่ราชสำนักของพระเชษฐาในพระนางอาเดิลไฮท์ คือ อัลเบร็ชท์ที่ 1 มาร์เกรฟแห่งไมเซิน ปแชมิเซิล โอตาการ์ทรงกลายเป็นทหารรับจ้างของจักรพรรดิเยอรมัน ใน ค.ศ. 1197 ปแชมิเซิล โอตาการ์ได้รับตำแหน่งดยุกแห่งโบฮีเมียเป็นครั้งที่สอง และได้ขึ้นเป็นกษัตริย์โบฮีเมียใน ค.ศ. 1198 กษัตริย์ปแชมิเซิล โอตาการ์ที่ 1 ทรงละทิ้งพระราชินีอาเดิลไฮท์ด้วยการหย่าร้างใน ค.ศ. 1199 จากการร่วมสายโลหิตกัน และหลังจากนั้นหนึ่งปีทรงอภิเษกสมรสใหม่กับเจ้าหญิงโกนช์ต็อนซิยอแห่งฮังการี[2] กระบวนการนี้มีส่วนช่วยให้พระองค์ยกระดับตำแหน่งจากดยุกมาเป็นพระมหากษัตริย์ตามพระราชกฤษฎีกาทองแห่งซิชิลี อดีตพระราชินีอาเดิลไฮท์ไม่ทรงสละสิทธิ์ของพระนาง ใน ค.ศ. 1205 พระนางเสด็จกลับไปยังปรากชั่วคราว ในช่วงนั้นกษัตริย์ปแชมิเซิล โอตาการ์ ทรงให้เจ้าหญิงมาร์แกตา พระราชธิดาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก พระมเหสีองค์ใหม่ของพระองค์คือ พระราชินีโกนช์ต็อนซิยอมีประสูติกาลพระโอรสซึ่งต่อมาคือ พระเจ้าวาตส์ลัฟที่ 1 แห่งโบฮีเมียในปีเดียวกัน อดีตพระราชินีอาเดิลไฮท์เสด็จออกจากโบฮีเมีย และสิ้นพระชนม์ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น สมเด็จพระราชินีก่อนการอภิเษกสมรสครั้งแรก กษัตริย์วัลเดมาร์ที่ 2 ทรงอภิเษกสมรสกับรีเชซาแห่งบาวาเรีย ธิดาในดยุกแห่งแซกโซนี เมื่อการแต่งงานไม่เกิดขึ้น พระองค์ได้อภิเษกสมรสครั้งแรกกับเจ้าหญิงมาร์แกตาแห่งโบฮีเมีย ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "ดักมาร์" ใน ค.ศ. 1205 ที่เมืองลือเบ็ค ตามบันทึกอันนาเลสเย็นเซส (รีดาบอเก็น; Rydårbogen) บันทึกว่าใน ค.ศ. 1206 สมเด็จพระราชินีดักมาร์มีอิทธิพลเหนือกษัตริย์วัลเดมาร์ให้ปล่อยตัวศัตรูคู่อาฆาตของพระองค์คือ บิชอปวัลเดมาร์แห่งชเลสวิช ซึ่งถูกคุมขังมาตั้งแต่ ค.ศ. 1193[3][4] ใน ค.ศ. 1209 สมเด็จพระราชินีดักมาร์มีพระประสูติกาล เจ้าชายวัลเดมาร์แห่งเดนมาร์ก (ราว ค.ศ. 1209–1231) สมเด็จพระราชินีดักมาร์สิ้นพระชนม์ขณะมีพระประสูติกาลพระโอรสองค์ที่สอง ซึ่งไม่รอดพระชนม์เช่นกัน กษัตริย์วัลเดมาร์ที่ 2 ทรงแต่งตั้งให้พระโอรสขึ้นเป็นกษัตริย์ร่วมเป็นที่รู้จักในนาม ยุวกษัตริย์วัลเดมาร์ ณ เมืองชเลสวิกใน ค.ศ. 1218 แต่ยุวกษัตริย์วัลเดมาร์กลับทรงประสบอุบัติเหตุต้องลูกธนูขณะเสด็จออกล่าสัตว์ที่เรฟสนีส์ในภาคเหนือของจัตแลนด์ ค.ศ. 1231[5] ไม่ค่อยมีใครทราบถึงเรื่องราวของสมเด็จพระราชินีดักมาร์ในฐานะบุคคลจริง เนื่องจากภาพลักษณ์ของพระนางมักปรากฏตามคติชนพื้นบ้าน นิทานโบราณและตำนาน ที่แสดงภาพลักษณ์พระนางในฐานะพระราชินีชาวคริสต์ในอุดมคติ ผู้อ่อนโยน มีขันติธรรมและเป็นที่เคารพรักไปทั่ว ตรงกันข้ามกับพระราชินีองค์ต่อมาอย่าง พระราชินีบึเร็งการียา เพลงบัลลาดเก่าแก่มีเนื้อความว่า พระนางดักมาร์ขอร้องให้กษัตริย์อภิเษกสมรสกับเคิร์ชเทน บุตรีของคาร์ล ฟอน รีซ และไม่ให้เสกสมรสกับ "ดอกไม้งาม" อย่างบึเร็งการียาแห่งโปรตุเกส (เบ็นเกิร์ด) เพราะพระนางทรงทำนายว่าเหล่าโอรสที่เกิดกับบาเรนกาเรียแห่งโปรตุเกสจะต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์กัน หลังการสิ้นพระชนม์ของพระราชินีดักมาร์ มีความพยายามผูกสัมพันธ์กับฟลานเดอส์ (ดินแดนที่มีความสำคัญทางการค้าและมีพรมแดนติดกับศัตรูเดนมาร์กทางตะวันตก) กษัตริย์วัลเดมาร์จึงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงบึเร็งการียาใน ค.ศ. 1214 พระศพของสมเด็จพระราชินีดักมาร์ถูกฝังที่โบสถ์นักบุญเบ็นท์ในริงสเต็ด เคียงข้างกษัตริย์วัลเดมาร์ที่ 2 และมีพระศพของพระราชินีบึเร็งการียาอยู่อีกข้างหนึ่งของพระบรมศพกษัตริย์ พระโอรสทรงมีพระโอรสดังนี้
กางเขนดักมาร์![]() ![]() กางเขนประดับหน้าอก เป็นที่รู้จำในนามว่า "กางเขนดักมาร์" (ดักมาร์คอร์เซ็ท;Dagmarkorset) ซึ่งวางอยู่บนพระทรวงของพระศพพระราชินีดักมาร์ซึ่งมีการเปิดโลงพระศพใน ค.ศ. 1683 ใน ค.ศ. 1695 กางเขนได้ถูกบริจาคแก่หอศิลป์แห่งชาติเดนมาร์ก อัญมณีมีการเจียระไนตามศิลปะไบแซนไทน์และวัสดุทำจากทองคำ มีการเคลือบโดยเอนาเมล ด้านหนึ่งเป็นไม้กางเขนส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นภาพพระเยซูอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยนักบุญบาซิลแห่งซีซาเรีย นักบุญจอห์น คริสซอสตอม พระแม่มารีย์ และนักบุญยอห์นอัครทูต ใน ค.ศ. 1863 พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 7 แห่งเดนมาร์กได้บริจาครูปจำลองของกางเขนให้แก่เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก พระธิดาในเจ้าชายคริสเตียนแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซินเนอร์บอร์-กลึคส์บวร์ค ซึ่งต่อมาคือ พระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก ในคราวที่เจ้าหญิงได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์ ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร[6] [7] [8] [9] ในยุคสมัยใหม่ กางเขนดักมาร์จะถูกสวมใส่โดย "เด็กหญิงชาวเดนมาร์กเพื่อยืนยันการนับถือคริสตจักรนิกายลูเธอรันและจะถูกมอบให้แก่เด็กๆ ในฐานะของขวัญบัพติศมาด้วย"[10] ในนิกายลูเธอรันของศาสนจักรสวีเดน "กางเขนจะถูกส่งต่อสืบทอดไปยังบิชอปคนใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่ง อาร์กบิชอปแห่งอุปซาลาพร้อมกับตุ้มปี่และโครเซียร์"[11] ภาพ
อ้างอิงวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ดักมาร์แห่งโบฮีเมีย
ข้อมูล
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia