ซน เซน
ซอน เซน (Son Sen; เขมร: សុន សេន) เกิดเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2473 เสียชีวิตเมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2540 เป็นนักการเมืองและทหารชาวกัมพูชาที่นิยมคอมมิวนิสต์ เขาเป็นคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาและพรรคกัมพูชาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2517 – 2535 เขาเป็นผู้ดูแลหน่วยสันติบาลของพรรคและคุกตวลแซลง เขาแต่งงานกับยุน ยัต (雲月) ผู้ซึ่งต่อมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและสารสนเทศ เขาถูกพล พตสั่งฆ่าเมื่อ พ.ศ. 2540 ชีวิตช่วงแรกเซนเกิดที่จังหวัดจ่าวิญ ในเวียดนามใต้[1] เป็นชาวแขมร์กรอม[2] ที่มีเชื้อสายจีน-เวียดนาม[3] ใน พ.ศ. 2489 เขาเข้าเรียนที่วิทยาลัยฝึกหัดครูในพนมเปญ และได้ทุนไปเรียนต่อฝรั่งเศส และได้เข้าร่วมกลุ่มกับนักศึกษาชาวกัมพูชาที่นิยมคอมมิวนิสต์ เช่น พล พต เอียง ซารี และฮู ยวน เซนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบรุนแรงของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส ต่อมาเซนถูกถอนทุนเพราะเข้าร่วมกับกลุ่มการเมืองหัวรุนแรง เขาจึงต้องกลับมากัมพูชาและสอนหนังสือที่วิทยาลัยสีสุวัตถิ์ ต่อมาไปทำงานที่มหาวิทยาลัยพนมเปญ เซนเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2503 ซึ่งในขณะนั้นมีตู สามุตเป็นผู้นำ[4] เซนมีมุมมองที่ต่อต้านระบอบสังคมของพระนโรดม สีหนุ ทำให้เขาต้องออกจากงานใน พ.ศ. 2505 เพราะเผยแพร่ความคิดต่อต้านพระนโรดม สีหนุในหมู่นักเรียน เขาจึงไปสอนที่จังหวัดตาแก้ว ใน พ.ศ. 2506 ซึ่งเป็นปีที่พล พตเข้ามาครอบงำพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้ทั้งหมด กลุ่มฝ่ายซ้ายส่วนใหญ่ออกจากพนมเปญไปสู่ชนบท เซนได้ออกจากเมืองเช่นกันใน พ.ศ. 2507 เซนเข้าร่วมกับกลุ่มของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จังหวัดรัตนคีรี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ของชาวเขมรบน[5] ใน พ.ศ. 2511 เขาได้จัดให้มีการลุกฮือขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศในเขตจังหวัดกำปอต ตาแก้วและจังหวัดกำปงสปือ[6] หัวหน้ากองทหารเขมรแดงหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2513 และการก่อตั้งสาธารณรัฐเขมรโดยมีลน นลเป็นผู้นำ พระนโรดม สีหนุเข้าร่วมกับเขมรแดงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ปักกิ่ง กองกำลังของเขมรแดงได้ขยายตัวมากขึ้นเพราะอาศัยชื่อของพระนโรดม สีหนุ เซนเป็นผู้รับผิดชอบกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนกัมพูชาทางตะวันออกเฉียงเหนือ[7] ต่อมาใน พ.ศ. 2515 เซนได้เป็นผู้นำกองทัพของเขมรแดง กัมพูชาประชาธิปไตยหลังจากที่เขมรแดงยึดพนมเปญได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 เซนได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแลหน่วยสันติบาลซึ่งเป็นตำรวจลับและเป็นผู้ดูแลคุกตวลแซลง เขาจึงเกี่ยวข้องกับการสังหารผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะศัตรูของรัฐบาล ร่วมมือกับกัง เก็ก เอียวที่เป็นผู้ควบคุมคุกตวลแซลง เซนนั้นมีแนวคิดต่อต้านเวียดนามอย่างรุนแรง นอกจากนั้น ภายในพรรคยังระแวงเกี่ยวกับความปลอดภัยสูง จึงมีการใช้ชื่อปลอมหรือหมายเลขในเอกสารภายใน เซนมักใช้ชื่อปลอมว่าเขียว และใช้หมายเลขว่า “พี่ชาย 89” เซนยังมีหน้าที่ในการดูแลกองทัพแห่งชาติหรือกองทัพปฏิวัติกัมพูชาตั้งแต่ พ.ศ. 2520 – 2521 เขาได้เพิ่มความตึงเครียดทางทหารต่อเวียดนามตลอดแนวชายแดน รวมทั้งการกวาดล้างครั้งใหญ่ในเขตตะวันออกเพราะเขาเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับเวียดนาม เมื่อเกิดสงครามกับเวียดนามและสถานการ์ของกัมพูชาประชาธิปไตยแย่ลง บทบาทของเซนเริ่มลดลงและเกือบจะเป็นเหยื่อของหน่วยสันติบาลเสียเอง หากไม่เป็นเพราะเวียดนามเป็นฝ่ายชนะไปเสียก่อน ผู้บังคับบัญชากองทัพกัมพูชาประชาธิปไตยหลังจากที่มีการจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาใน พ.ศ. 2522 เซนได้กลับมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพเขมรแดงอีกครั้งเพื่อสู้รบกับกองทัพเวียดนามในสงครามกัมพูชา–เวียดนาม โดยมีฐานที่มั่นที่เทือกเขาบรรทัด ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2528 พล พตได้ประกาศวางมือ ซอน เซนขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพกัมพูชาประชาธิปไตย ในช่วงนี้ เซนได้ติดต่อกับผู้นำกลุ่มอื่น ๆ ในแนวร่วมเขมรสามฝ่าย คือกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมรที่นำโดยสัก สุตสคานและกองทัพเจ้าสีหนุที่เป็นกองกำลังติดอาวุธของฟุนซินเปก นำโดยพระนโรดม รณฤทธิ์ ซึ่งเขมรแดงเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุด พ.ศ. 2534 – เสียชีวิตหลังการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีสในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2534 เซนและเขียว สัมพันได้เดินทางมายังพนมเปญเพื่อเจรจากับอันแทคและรัฐบาลที่พนมเปญ เซนได้เป็นสมาชิกสภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชาที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรับประกันความเป็นเอกราชจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งที่จัดโดยอันแทค อย่างไรก็ตาม เซนถูกปลดออกจากอำนาจในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 โดยตา ม็อกและเขมรแดงยุติการเจรจาและไม่เข้าร่วมการเลือกตั้ง ตั้งแต่พ.ศ. 2535 – 2540 บทบาทของซอน เซนในเขมรแดงลดลง เซนถูกฆ่าเมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2540 พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวอีก 13 คนทั้งผู้หญิงและเด็ก โดยพล พตเป็นผู้สั่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เขาพยายามต่อสู้เพื่อรื้อฟื้นอำนาจในการควบคุมเขมรแดงจากตา ม็อก[8] พล พตเชื่อว่าเซนลอบเจรจากับฝ่ายรัฐบาลผ่านทางฮุน เซน พล พตจึงสั่งให้นำเซนและครอบครัวไปยิงทิ้งแล้วใช้รถบรรทุกวิ่งทับ[9] อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia