ชาญี่ปุ่น
![]() ชาญี่ปุ่น มีรสและกลิ่นแตกต่างจากชาเขียวของประเทศอื่น แต่เพราะกระบวนการผลิตไม่ผ่านการหมักคล้ายชาเขียวจีนจึงถูกจัดเข้าในประเภทชาเขียวเช่นกัน วิธีการทีถูกพัฒนาผ่านประวัติศาสตร์เฉพาะตัวทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งในการผลิตชาชนิดต่าง ๆ ที่ต่างจากชาของจีน และวัฒนธรรมการชงชาที่พัฒนาขึ้นในช่วงยุคสงคราม ทำให้ชาญี่ปุ่น ต่างจากชาจีน อินเดีย และอังกฤษ ชาญี่ปุ่นที่ผลิตมากที่สุดนั้นคือเซ็นจะ (煎茶) จึงถือว่าเป็นตัวแทนชาญี่ปุ่นในแง่จำนวนการผลิตที่มากที่สุด ชาเกรดสูงที่รู้จักกันมากคือเกียวกูโระ (玉露) และมัจจะ (抹茶) โดยทั่วไปคนจะดื่มชาที่ผลิตได้มากและราคาไม่สูงนักอย่างบันจะ (番茶) และชาคั่วโฮจิจะ (ほうじ茶)
รสและกลิ่นของชาญี่ปุ่นมีการจำแนกของหลายสำนัก ในที่นี้จะกล่าวถึงสองแบบพอสังเขป
กระบวนการผลิตชาชาทั่วไป เช่น เซ็นจะ โฮจิจะ บันจะ แปลงที่ใช้ปลูกจะได้รับแสงอาทิตย์ตลอดระยะการปลูก และจะมีการเก็บเกี่ยวใบชาเมื่อครบกำหนด ก่อนจะนำไปผ่านกระบวนการอบไอน้ำอย่างรวดเร็วและนวดพร้อมทำให้แห้ง ในขณะที่ชาโฮจิจะจะถูกนำไปคั่วต่ออีกขั้นหนึ่งทำให้สามารถได้กลิ่นใบชาที่ถูกคั่วแม้จะยังไม่ได้ชง ชาคุณภาพสูง เช่น เกียวกูโระและมัตจะ ในแปลงที่ปลูกจะมีการคลุมต้นชา ปกติจะมีลักษณะเป็นตาข่ายไฟเบอร์สีดำ ทำเป็นสเลนไว้ด้านบน แต่กรรมวิธีโบราณที่ประณีตกว่าจะใช้ฟางแทนวัสดุสังเคราะห์ ชาที่ผลิตคุณภาพต่ำจะถูกเก็บโดยเครื่องมือตัด ในขณะที่ชาคุณภาพสูงจะใช้แรงงานคนเก็บเกี่ยว ![]() ชนิดของชาเขียวญี่ปุ่น[1] ชาชงจากใบชาแท้
![]() ที่รู้จักกันทั่วไปในไทย
ผลิตภัณฑ์จากชาในรูปแบบอื่น ๆชาผงสำหรับอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีการผลิตผงชาเพื่อการใช้ทำเบเกอรีและอุตสาหกรรม ทำให้สามารถละลายได้ง่ายและมีราคาถูกมากกว่าการใช้ใบชาแท้ ทำให้สามารถผลิตเป็นจำนวนมาก นิยมใช้ในการทำเบเกอรีและชานม แม้คุณภาพจะด้อยกว่ามากทำให้ไม่สามารถชงกับน้ำดื่มได้เหมือนชาใบและชาผงสำเร็จรูป ผงชาเขียว / ผงมัตจะ / มัตจะพาวเดอร์ เกรดที่ผลิตในญี่ปุ่น จะ ต่างกับที่ผลิตในประเทศไทย โดยสังเกตได้จาก สี กลิ่น และรสชาติ อันเนื่องมาจากกระบวนการผลิตที่ต่างกัน โรงงานในญี่ปุ่นจะควบคุมอุณภูมิ ความชื้น แสง และการอ๊อกซิได้ซ์กับอากาศของผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่า ผงโฮจิจะ ใช้ทำชานมลาตเท ชาผงสำเร็จรูป
ชาบรรจุขวดในญี่ปุ่น ชาขวดในญี่ปุ่น "ปราศจากน้ำตาล" โดยส่วนใหญ่ และในวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นนิยมดื่มชาแบบไร้น้ำตาล
ชาญี่ปุ่นบรรจุขวดในไทย
แหล่งที่ปลูกแหล่งปลูกชาญี่ปุ่นมีหลายจังหวัด ดังนี้ มิเอะ ไอจิ กิฟุ ชิงะ ชิซูโอกะ คานางาวะ ไซตามะ อิบารากิ นาระ นีงาตะ เกียวโต โอกายามะ ชิมาเนะ เอฮิเมะ ฟูกูโอกะ ซางะ คูมาโมโตะ มิยาซากิ คาโงชิมะ พัฒนาการของชาในญี่ปุ่นในยุคเฮอันพระเอไซ[2]ที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่จีน หรือสมัยราชวงศ์ถังของจีน ได้นำมาปลูกในหลายๆจังหวัด รวมถึงเมืองอุจิใกล้กับกรุงเฮอันซึ่งเป็นเมืองหลวงในสมัยนั้น(เกียวโตในปัจจุบัน) จนมีการส่งชาเข้าวังและผลิตเพื่อการค้า และนำไปสู่การพัฒนาการปลูกชา รวมถึงการแข่งประกวดชาชนิดต่างๆในญี่ปุ่นปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีการผลิตทั้งชาขวดและชาผงเพื่อความสะดวกทั้งในการเก็บและการใช้งาน เนื่องจากใบชาเขียวจะเปลี่ยนแปลงสภาพเมื่อสัมผัสกับอากาศกาศ แสง ความร้อน และความชื้น ยากต่อการเก็บรักษา จึงทำให้ชาเขียวที่ผลิตจากใบชาอย่างมัตจะ เกียวกูโระ หรือเซ็นจะ มีต้นทุนที่สูงมากในการนำมาใช้เพื่อการค้า จริงได้มีการผลิตชาแบบผงที่รสและคุณภาพด้อยกว่าออกมาขายเพื่อลดต้นทุน และใช้ทดแทนใบชาแท้ พิธีชงชาญีปุ่นซาโดหรือพิธีชงชาญี่ปุ่น การดื่มชาเริ่มจากประเทศจีน และพระญี่ปุ่นได้นำเข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับศาสนาพุทธในการดื่มเพื่อคลายความง่วง และรับพิธีการชงชามาพร้อมๆกัน ในยุคเริ่มแรกยังไม่ใช้มัตจะที่ทำจากชาเขียวแต่ใช้ชาอัดแผ่นบดแล้วชง จนกระทั่งมัตจะที่ทำจากชาเขียวถูกพัฒนาขึ้นภายหลัง ชามักถูกชงเพื่อรับแขกชั้นสูงในห้องที่ตกแต่งอย่างโออ่าของบ้านขุนนาง หรือเศรษฐีชาวญี่ปุ่นในยุคมุโรมาจิ และในยุคอาซุกะโมโมยามะ (ปลายยุคสงคราม ค.ศ. 1568–1600) เมื่อซามุไรมีอำนาจมากขึ้นความฟุ้งเฟ้อที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดทำให้มีกระแสต่อต้านกลับไปสู่ความเรียบง่าย ทำให้พระที่ชื่อเซนโนริคิว วางรูปแบบของการชงชาญี่ปุ่น โดยมุ่งเน้นให้ขุนนางระลึกถึงความสมถะและความไม่สมบูรณ์ (วาบิซาบิ) มากกว่าความฟุ้งเฟ้อที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ซาโด เป็นส่วนหนึ่ง ของ ซันโด (三道: ไตรมรรคา)เป็นการศึกษาในพุทธศาสนาญี่ปุ่น(อาจมีการใช้คำว่าไตรสิกขาโดยการเปลี่ยความหมายใหม่) ที่กอบด้วย ศิลปะสามสาย(芸道) ด้านบุ๋น คือ ซาโด (ชงชา) คาโด (จัดดอกไม้) โคโด (ปรุงกลิ่น) และ อีกสามศิลปะการป้องกันตัว หรือ บูชิโด(武道)ด้านบู๊ ได้แก่ เคนโด อิไอโด และยูโด อ้างอิง
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ชาญี่ปุ่น |
Portal di Ensiklopedia Dunia