ความเอนเอียงโดยการมองในแง่ดีความเอนเอียงโดยการมอง (ความเสี่ยงของตน) ในแง่ดี[1] หรือ ความเอนเอียงโดยสุทรรศนนิยม[2] (อังกฤษ: optimism bias) หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า unrealistic optimism (การมองในแง่ดีแบบเป็นไปไม่ได้) หรือ comparative optimism (การมองในแง่ดีเชิงเปรียบเทียบ) เป็นความเอนเอียงที่เป็นเหตุให้เราเชื่อว่า เรามีโอกาสที่จะประสบเหตุการณ์เลวร้ายน้อยกว่าคนอื่น มีองค์ประกอบ 4 อย่างที่ทำให้เกิดความเอนเอียงนี้คือ[3] ความเอนเอียงนี้จะเห็นได้ในสถานการณ์หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น
แม้ว่าความเอนเอียงนี้อาจจะเกิดขึ้นทั้งในเหตุการณ์เชิงบวก เช่นเชื่อว่าตนเองมีความสำเร็จทางการเงินดีกว่าคนอื่น และทั้งเหตุการณ์เลวร้าย เช่นเชื่อว่าตนมีโอกาสน้อยกว่าที่จะติดเหล้า แต่ว่างานวิจัยและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์โดยมากแสดงว่า ความเอนเอียงนี้มีกำลังมากกว่าในเหตุการณ์เลวร้าย[3][7] ความเอนเอียงนี้มีผลแตกต่างกันในเหตุการณ์เชิงบวกและลบ ความเอนเอียงในเหตุการณ์เชิงบวกมักจะนำไปสู่ความสุขและความมั่นใจ ความเอนเอียงในเหตุการณ์เลวร้ายจะนำไปสู่ความเสี่ยงที่สูงยิ่งขึ้นที่จะประสบกับเหตุการณ์นั้น เช่นการมีพฤติกรรมเสี่ยงและไม่ทำการป้องกัน[3] การวัดความเอนเอียงนี้มักจะวัดโดยตัวกำหนดความเสี่ยงสองอย่าง คือ
มีปัญหาหลายอย่างในการวัดค่าสัมบูรณ์เพราะว่ายากมากที่จะกำหนดสถิติความเสี่ยงจริง ๆ ของคน ๆ หนึ่ง[8][9] ดังนั้น การวัดค่าในงานวิจัยมักจะเป็นแบบเปรียบเทียบ โดยเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบโดยตรงหรือโดยอ้อม[5] การเปรียบเทียบโดยตรงจะถามว่าตนมีโอกาสเสี่ยงในการประสบเหตุการณ์หนึ่ง ๆ น้อยกว่า มากกว่า หรือเท่ากับคนอื่น ๆ ในขณะที่การเปรียบเทียบโดยอ้อมจะเป็นการประเมินทั้งความเสี่ยงของตนในการประสบเหตุการณ์ และความเสี่ยงของคนอื่นในการประสบเหตุการณ์อย่างเดียวกัน[8][10] หลังจากที่ได้ค่าประเมินต่าง ๆ นักวิจัยจะกำหนดว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ ระหว่างค่าประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉลี่ยของบุคคล เทียบกับค่าประเมินความเสี่ยงเฉลี่ยของบุคคลอื่น (ที่อยู่ในวัยและเพศเดียวกันเป็นต้น) โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ในเหตุการณ์เลวร้าย ค่าประเมินความเสี่ยงเฉลี่ยของบุคคลจะต่ำกว่าค่าประเมินความเสี่ยงที่ให้กับคนอื่น[8] ซึ่งใช้เป็นหลักฐานว่ามีความเอนเอียงนี้ ความเอนเอียงนี้สามารถกำหนดได้ในระดับกลุ่มเท่านั้น เพราะค่าประเมินเชิงบวกเทียบกับคน ๆ เดียวอาจจะถูกต้องตามความเป็นจริง[7] นอกจากนั้นแล้ว ยังมีปัญหาอื่น ๆ เกี่ยวกับการวัดค่าความเสี่ยง เพราะว่ายากที่จะกำหนดว่า ใครมองในแง่ดี ใครมองถูกต้องตามความเป็นจริง และใครมองในแง่ร้าย[8][10] มีงานวิจัยที่เสนอว่า ความเอนเอียงมาจากการประเมินค่าความเสี่ยงของกลุ่มเปรียบเทียบเกินความจริง ไม่ใช่เป็นการประเมินค่าเสี่ยงของตนต่ำเกินไป[8] องค์ประกอบองค์ประกอบที่นำไปสู่ความเอนเอียงนี้สามารถแยกออกเป็นสี่กลุ่ม คือ[3]
ซึ่งจะอธิบายต่อไป ผลที่พึงประสงค์เมื่อมีการเปรียบเทียบทฤษฎีอธิบายความเอนเอียงประเภทนี้หลายอย่างแสดงว่า เป้าหมาย (goals) และสิ่งที่ต้องการที่จะเห็นเป็นผล (desired outcome) ของบุคคล เป็นเหตุหนึ่งของความเอนเอียง[3] คือ เรามักจะเห็นความเสี่ยงของเราน้อยกว่าคนอื่น เพราะเชื่อว่า เป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการจะเห็นในเรา ทฤษฎีเหล่านี้รวมทั้ง
การยกตนทฤษฎีการยกตนเสนอว่า การมองในแง่ดีเป็นสิ่งที่น่าพึงใจและทำให้รู้สึกดี เมื่อคิดว่า สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้น[3] เราสามารถควบคุมความกังวลไม่สบายใจและอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ ถ้าเชื่อว่า เราดีกว่าคนอื่น[3] เรามักจะสนใจหาข้อมูลสนับสนุนสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้น มากกว่าข้อมูลที่จะแสดงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราจริง ๆ[3] ทฤษฎีความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีเสนอว่า เราจะพยากรณ์เหตุการณ์ในเชิงบวก เพราะเป็นสิ่งที่เราหวังให้เกิดขึ้น ซึ่งบอกเป็นนัยด้วยว่า เราอาจจะลดค่าความเสี่ยงของตนเมื่อเทียบกับคนอื่น เพื่อให้ตนดูดีกว่าคนอื่นโดยเฉลี่ย คือเพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้อื่น ดังนั้นจึงดีกว่าผู้อื่น[3] การบริหารความประทับใจงานวิจัยต่าง ๆ แสดงว่า เราพยายามที่จะสร้างและรักษาภาพพจน์ที่พึงปรารถนาของตนในวงสังคม คือ เรามีแรงจูงใจที่จะแสดงตนในภาพพจน์ที่ดีต่อผู้อื่น ดังนั้น นักวิจัยบางพวกจึงเสนอว่า ความเอนเอียงนี้เป็นตัวแทนของกระบวนการบริหารความประทับใจ คือ เราต้องการที่จะปรากฏว่าดีกว่าคนอื่น แต่ว่า นี่ไม่ใช่ความพยายามโดยจงใจ คือเกิดขึ้นใต้จิตสำนึก ในงานวิจัยหนึ่งที่ผู้ร่วมการทดลองเชื่อว่า จะมีการทดสอบความสามารถในการขับรถของตนโดยเหตุการณ์จริง ๆ หรือในความจริงเสมือน คนที่เชื่อว่าจะมีการทดสอบ จะมีความเอนเอียงแบบนี้น้อยกว่า และจะถ่อมตนมากกว่า เมื่อให้คะแนนทักษะการขับรถของตน เทียบกับบุคคลผู้ที่เชื่อว่าจะไม่มีการทดสอบ[11] มีงานวิจัยที่เสนออีกด้วยว่า บุคคลที่แสดงตนเองในแง่ร้ายมักจะมีการยอมรับน้อยกว่าจากสังคม[12] ซึ่งเป็นเหตุอย่างหนึ่งที่สนับสนุนการมองในแง่ดีมากเกินไป ความรู้สึกว่าควบคุมได้เรามักจะมีความเอนเอียงเช่นนี้มากกว่าเมื่อเชื่อว่า เราสามารถควบคุมเหตุการณ์ในสถานการณ์นั้นมากกว่าคนอื่น[3][9][13] ยกตัวอย่างเช่น เรามักจะคิดว่า เราจะไม่เกิดความบาดเจ็บเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ถ้าเราเป็นคนขับ[13] อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเราเชื่อว่า เรามีระดับความควบคุมสูงในการติดเอดส์ เราก็จะมีโอกาสมากกว่าที่จะเห็นว่า โอกาสเสี่ยงในการติดโรคของเรามีน้อย[8] มีงานวิจัยหลายงานที่เสนอว่า เรายิ่งรู้สึกว่าเรามีความควบคุมสูงเท่าไร ก็จะมีความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีสูงขึ้นเท่านั้น[13][14] เพราะฉะนั้น ความรู้สึกว่าควบคุมได้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญเมื่อประเมินความเสี่ยงของตนเอง แต่ไม่ใช่เมื่อประเมินความเสี่ยงของคนอื่น[9][13] งาน meta-analysis ที่สืบหาความสัมพันธ์ระหว่างความเอนเอียงนี้กับความรู้สึกว่าควบคุมได้พบว่า มีตัวแปร moderator อื่น ๆ ที่สนับสนุนส่งเสริมความสัมพันธ์[9] ในงานวิจัยที่ผ่านมา ผู้ร่วมการทดลองจากสหรัฐอเมริกาโดยทั่วไปมีค่าความสัมพันธ์ ระหว่างความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีและความรู้สึกว่าควบคุมได้ สูงกว่าประเทศอื่น ๆ นอกจากนั้นแล้ว นักเรียนนักศึกษามักจะมีความเอนเอียงนี้ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มชนอื่น ๆ[9] แบบงานวิจัยยังแสดงความแตกต่างกันของความสัมพันธ์ระหว่างความเอนเอียงนี้กับความรู้สึกว่าควบคุมได้ คือ งานวิจัยที่ใช้การวัดโดยตรงเสนอว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างความเอนเอียงนี้กับความรู้สึกว่าควบคุมได้ สูงกว่าเมื่อเทียบกับงานวิจัยที่ใช้การวัดโดยอ้อม[9] ความเอนเอียงนี้มีกำลังสูงสุดในสถานการณ์ที่บุคคลต้องพึ่งการกระทำของตน และมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ[9] องค์ประกอบมีผลตรงกันข้ามกับความรู้สึกว่าควบคุมได้ก็คือ ประสบการณ์ที่มีมาก่อน[8] นั่นก็คือ ประสบการณ์ที่มีมาก่อนมักจะสัมพันธ์กับความมีความเอนเอียงนี้ในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งงานวิจัยบางงานเสนอว่า มาจากการลดความรู้สึกว่า สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้ หรือว่า ทำให้ง่ายขึ้นที่จะคิดว่า ตนมีโอกาสเสี่ยง[8][14] ประสบการณ์ก่อน ๆ ทำให้คิดได้ว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ อาจจะควบคุมได้น้อยกว่าที่เคยเชื่อมาก่อน ๆ[8] กลไกทางประชานความเอนเอียงนี้อาจจะได้รับอิทธิพลจากกลไกทางประชาน 3 อย่างที่ใช้ในการประเมินและการตัดสินใจ คือ representativeness heuristic (ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทน), singular target focus (จุดเป้าหมายที่มีอันเดียว), และ interpersonal distance (ความเหินห่างระหว่างบุคคล)[3] ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทนการประเมินความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ ที่เกี่ยวกับความเอนเอียงนี้ อาศัยว่า เหตุการณ์หนึ่งจะเหมือนกับไอเดียทั่วไปของเราเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร[3] คือ มีนักวิชาการบางท่านที่เสนอว่า representativeness heuristic (ฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทน) เป็นเหตุอย่างหนึ่งของความเอนเอียงนี้ ซึ่งก็คือเรามักจะคิดถึงตัวอย่างประเภท (stereotypical categories) แทนที่จะคิดถึงตัวอย่างนั้นโดยตรงเมื่อทำการเปรียบเทียบ[14] ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีการให้คนขับรถคิดถึงอุบัติเหตุรถยนต์ ผู้ขับก็มักจะคิดถึงคนขับรถที่ไม่ดี มากกว่าคนขับรถโดยทั่ว ๆ ไป[3] คือ เรามักจะเปรียบเทียบกับตัวอย่างไม่ดีที่นึกได้ มากกว่าจะทำการเปรียบเทียบที่แม่นยำกว่าโดยทั่ว ๆ ไประหว่างตนเองกับคนขับรถอื่น ๆ นอกจากนั้นแล้ว เมื่อเราเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อน เรามักจะเลือกเพื่อนที่แย่กว่าในเหตุการณ์ที่กำลังพิจารณา[15] คือ เรามักจะเลือกเพื่อนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเพราะว่าคล้ายกับตัวอย่างที่เป็นประเด็น มากกว่าจะเลือกเพื่อนทั่ว ๆ ไป (แทนที่เพื่อนที่มีลักษณะเป็นกลาง ๆ โดยเฉลี่ย)[15] นี่เป็นการหาตัวอย่างที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคำถาม ซึ่งเป็นลักษณะของฮิวริสติกโดยความเป็นตัวแทน จุดเป้าหมายที่มีอันเดียวความยากลำบากอย่างหนึ่งในการแก้ความเอนเอียงนี้ก็คือ เราจะรู้จักตัวเราเองดีกว่าคนอื่น ดังนั้น แม้เราจะคิดถึงตนเองว่าเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่เรากลับคิดถึงผู้อื่นโดยความเป็นกลุ่มบุคคล ซึ่งนำไปสู่การประเมินค่าที่เอนเอียง และความไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจอย่างพอเพียงต่อบุคคลที่เปรียบเทียบ หรือกลุ่มที่เปรียบเทียบ โดยนัยเดียวกัน เมื่อทำการประเมินหรือทำการเปรียบเทียบความเสี่ยงของตนเทียบกับผู้อื่น เราโดยทั่ว ๆ ไปจะไม่ใส่ใจในบุคคลทั่ว ๆ ไป (คนกลาง ๆ โดยเฉลี่ย) แต่จะไปสนใจคนที่ตรงกับความรู้สึกและประสบการณ์ของตนเอง[3] ความเหินห่างระหว่างบุคคลอีกอย่าง ความแตกต่างของการประเมินความเสี่ยง จะขึ้นอยู่กับว่า บุคคลที่เป็นเป้าหมายเปรียบเทียบ เหมือนหรือไม่เหมือนกับผู้ที่กำลังทำการเปรียบเทียบ[3] ยิ่งรู้สึกว่าห่างกันมากเท่าไร ค่าประเมินความเสี่ยงก็จะแตกต่างกันมากเท่านั้น แต่ถ้าทำให้ผู้ที่เป็นเป้าหมายเปรียบเทียบใกล้กับผู้เปรียบเทียบมากยิ่งขึ้น ค่าประเมินความเสี่ยงก็จะแตกต่างกันน้อยลง[3] มีหลักฐานอยู่บ้างว่า ความรู้สึกเกี่ยวกับความห่างทางสังคม (social distance) มีผลต่อระดับความเอนเอียงโดยมองในแง่ดี[16] คือ ถ้าเทียบกับบุคคลใน in-group (วงสังคมของตนเอง) ค่าประเมินระหว่างตนกับคนอื่น จะมีความใกล้เคียงกว่าเมื่อมีการเทียบกับบุคคลอื่นใน outer-group (กลุ่มนอกสังคมของตน)[16] ในงานวิจัยหนึ่ง นักวิจัยจัดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสังคมของกลุ่มที่เปรียบเทียบ โดยที่ผู้ร่วมการทดลองทำการตัดสินโดยใช้กลุ่มเปรียบเทียบสองกลุ่ม คือ นักเรียนทั่วไปที่มหาวิทยาลัยของตน และนักเรียนทั่วไปที่อีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ผลงานวิจัยแสดงว่า เราไม่ใช่เพียงแต่ทำการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีฐานะทางสังคมใกล้กว่าเราก่อนเท่านั้น แต่ความแตกต่างค่าประเมินความเสี่ยงระหว่างเรากับคนในกลุ่มของเราเองน้อยกว่า ค่าประเมินระหว่างเรากับคนในกลุ่มอื่นอีกด้วย[16] งานวิจัยหลายงานยังพบอีกด้วยว่า เรามีความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ไม่รู้จักดี ในระดับที่สูงกว่า แต่ความเอนเอียงจะลดลงถ้าผู้เป็นเป้าหมายเปรียบเทียบเป็นคนคุ้นเคย เช่นเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัว ซึ่งเป็นเพราะเรามีข้อมูลเกี่ยวกับคนใกล้ตัว แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับคนอื่น[7] ข้อมูลเกี่ยวกับตนและกับผู้เป็นเป้าหมายเปรียบเทียบเรามีข้อมูลเกี่ยวกับตนเองมากกว่าเรามีเกี่ยวกับผู้อื่น[3] ทำให้เราสามารถประเมินค่าความเสี่ยงของเราได้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่ทำให้ยากที่จะประเมินความเสี่ยงของผู้อื่นได้ ซึ่งเป็นผลให้เกิดความแตกต่างของความเห็นและข้อสรุปที่มีในเรื่องความเสี่ยงของตนเทียบกับของผู้อื่น ทำให้เกิดความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีในระดับที่สูงขึ้น (คือมีความแตกต่างกันของค่าเปรียบเทียบที่มากขึ้น)[3]
ความเอนเอียงเพราะเหมือนมนุษย์Person-positivity bias (ความเอนเอียงเพราะเหมือนมนุษย์) เป็นความโน้มเอียงที่จะให้คะแนนวัตถุหนึ่งดีกว่าวัตถุอื่น เพราะเหมือนกับมนุษย์มากกว่า โดยทั่วไปแล้ว วัตถุเป้าหมายยิ่งเหมือนกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งมากเท่าไร ก็จะมีความรู้สึกคุ้นเคยกับวัตถุนั้นมากขึ้นเท่านั้น แต่กลุ่มบุคคลกลับเป็นความคิดที่เป็นนามธรรมมากกว่า ทำให้เกิดความคิดเห็นที่ดีได้น้อยกว่า ความเอนเอียงเพราะเหมือนมนุษย์สามารถอธิบายความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีได้ว่า เมื่อเราเทียบตนเองกับคนอื่นโดยทั่วไป (คนระดับกลาง ๆ) ไม่ว่าจะเป็นคนเพศเดียวกันหรือคนวัยเดียวกัน ผู้เป็นเป้าหมายเปรียบเทียบกลับดูเหมือนมนุษย์น้อยกว่า เหมือนกับบุคคลน้อยกว่า ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างกันระหว่างตนกับผู้อื่น[3] ความคิดมีตนเป็นศูนย์กลางEgocentric thinking (ความคิดมีตนเป็นศูนย์กลาง) หมายถึงการที่เรารู้ข้อมูลและความเสี่ยงของตนเอง พอที่จะสามารถใช้ในการประเมินและการตัดสินใจ แต่ว่า แม้ว่าเราจะมีข้อมูลมากเกี่ยวกับตนเอง เรากลับไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้อื่น ดังนั้น เมื่อจะทำการตัดสินใจ เราต้องใช้ข้อมูลอื่นที่เรามี เช่นข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่ม ใช้เพื่อที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับผู้ที่เป็นเป้าหมายมากยิ่งขึ้น[3] นี้อาจจะมีความสัมพันธ์กับความเอนเอียงประเภทนี้ เพราะว่า แม้ว่าเราจะสามารถใช้ข้อมูลที่มีเกี่ยวกับตน แต่เรากลับมีความยากลำบากในการเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้อื่น[3] ความคิดมีตนเป็นศูนย์กลางเช่นนี้พบได้บ่อยครั้งกว่าในเด็กวัยรุ่นและเด็กมหาวิทยาลัย ที่มักจะคิดถึงตนเองมากกว่าผู้อื่นโดยรวม ๆ[17] แต่ว่า มีวิธีหลีกเลี่ยงแนวคิดแบบมีตนเป็นศูนย์กลาง ในงานวิจัยหนึ่ง นักวิจัยให้ผู้ร่วมการทดลองกลุ่มหนึ่งทำรายการองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการจะได้ประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วให้อีกกลุ่มหนึ่งอ่านรายการนั้น กลุ่มที่อ่านรายการจะแสดงความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีน้อยกว่า ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า ความรู้ที่ดีขึ้นเกี่ยวกับคนอื่น และเกี่ยวกับความรู้สึกผู้อื่นในเรื่องโอกาสเสี่ยง จะทำกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น[14] การประเมินความสามารถในการควบคุมของผู้อื่นต่ำเกินไปในทฤษฎีความคิดมีตนเป็นศูนย์กลาง มีความเป็นไปได้ที่เราจะประเมินความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ของผู้อื่น (ที่เป็นกลาง ๆ โดยเฉลี่ย) ต่ำเกินไป ซึ่งสามารถอธิบายได้โดย 2 แนว คือ
ยกตัวอย่างเช่น คนสูบบุหรี่อาจจะคิดว่า ตนได้ทำการป้องกันเพื่อที่จะไม่เป็นโรคมะเร็งปอดไว้แล้ว เช่น สูบบุหรี่แค่วันละหนเดียว หรือใช้ก้นกรอง และเชื่อว่า คนอื่นไม่ได้ใช้วิธีการป้องกันเหมือนกันกับตน แต่จริง ๆ แล้ว ก็จะมีคนสูบบุหรี่อื่นมากมายที่ทำการป้องกันอย่างเดียวกันนั่นแหละ[3] อารมณ์โดยทั่ว ๆ ไปองค์ประกอบสุดท้ายของความเอนเอียงนี้ก็คืออารมณ์โดยทั่ว ๆ ไป และประสบการณ์ทางอารมณ์ มีงานวิจัยที่แสดงว่า เรามีความเอนเอียงชนิดนี้ในระดับที่ต่ำกว่า เมื่อกำลังมีอารมณ์เชิงลบ และมีในระดับที่สูงกว่า เมื่อมีอารมณ์เชิงบวก อารมณ์ที่ทำให้เศร้าใจสะท้อนถึงการระลึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่ดี ซึ่งเพิ่มความคิดเห็นเชิงลบ ในขณะที่อารมณ์ดีจะโปรโหมตการระลึกถึงเหตุการณ์ดี ๆ และความรู้สึกที่ดี[3] ซึ่งบอกเป็นนัยว่า โดยรวม ๆ แล้ว อารมณ์ที่ไม่ดี รวมทั้งภาวะซึมเศร้า มีผลเป็นการเพิ่มค่าประเมินความเสี่ยงของตน ซึ่งทำให้มีความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีที่ลดลง[8] นอกจากนั้นแล้ว ความวิตกกังวลยังนำไปสู่ระดับความเอนเอียงนี้ที่ต่ำลง ซึ่งก็สนับสนุนสมมติฐานว่า ประสบการณ์ดี ๆ โดยทั่ว ๆ ไป และทัศนคติที่ดี จะมีผลเป็นระดับความเอนเอียงนี้ที่สูงขึ้นในการประเมินเหตุการณ์ต่าง ๆ[8] ผลกระทบของความเอนเอียงในทางสุขภาพ ความเอนเอียงนี้มักจะทำให้เราไม่สนใจที่จะกระทำการป้องกันต่าง ๆ เพื่อมีสุขภาพที่ดี[18] ดังนั้น นักวิจัยจึงจำเป็นต้องรู้จักความเอนเอียงนี้ และกระบวนการที่ความเอนเอียงขัดขวางไม่ให้มนุษย์ กระทำการป้องกันในการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจของตนเองโดยเปรียบเทียบต่ำเกินไป จะมีความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจน้อยกว่า และแม้หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับโรค ก็จะยังไม่สนใจในเรื่องความเสี่ยงต่อโรคหัวใจของตน[10] เพราะว่า ความเอนเอียงนี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการตัดสินใจ จึงสำคัญที่จะรู้ว่า ความรู้สึกว่าเสี่ยงไม่เสี่ยงเกิดขึ้นได้อย่างไร และว่า อย่างไรจึงจะมีผลเป็นพฤติกรรมที่ส่งเสริมการป้องกันความเสี่ยง ความรู้สึกเสี่ยงมีอิทธิพลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมส่วนบุคคล เช่นการออกกำลังกาย ไดเอ็ต และการใช้ครีมกันแดด[19] นโยบายป้องกันความเสี่ยงนั้นมักจะเน้นที่เด็กวัยรุ่น เพราะเด็กวัยรุ่นมีความรู้สึกเสี่ยงที่บิดเบือน จึงมักจะมีพฤติกรรมเสี่ยง ๆ ทางสุขภาพบ่อย ๆ เช่นการสูบบุหรี่ การใช้ยาเสพติด และเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน และถึงแม้จะรู้ถึงความเสี่ยง ความรู้นี้ก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนนิสัยและพฤติกรรมของเด็ก[20] ส่วนวัยรุ่นที่มีความเอนเอียงโดยมองในแง่ดีต่อพฤติกรรมเสี่ยง ๆ ก็จะมีความเอนเอียงนี้สูงด้วยในวัยผู้ใหญ่[18] อย่างไรก็ดี บททดสอบที่ใช้วัดค่าความเสี่ยงเหล่านี้บ่อยครั้งมีปัญหาทางระเบียบวิธี (methodological problem) คือ คำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ไม่มีเงื่อนไข มีการใช้เหมือนกันทั้งหมด ในงานวิจัยที่ศึกษาประชากรทั้งหมด จึงทำให้เกิดปัญหา เช่นถามถึงโอกาสที่การกระทำหนึ่งจะเกิดขึ้น แต่ไม่ได้กำหนดว่ามีผลของการกระทำนั้นหรือไม่ หรือว่า เปรียบเทียบเหตุการณ์จริง ๆ ที่เกิดขึ้น กับเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้น[19] ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของการฉีดวัคซีน มีการเปรียบเทียบความรู้สึกของคนที่ฉีดและไม่ได้ฉีด ปัญหาอย่างอื่นก็คือ การไม่รู้ความรู้สึกเสี่ยงของบุคคลในเรื่องหนึ่ง ๆ[19] ซึ่งถ้ารู้ก็จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาความเอนเอียงโดยมองในแง่ดี และพฤติกรรมที่สามารถใช้ป้องกัน การแก้ไขและการกำจัดงานวิจัยหลายงานแสดงว่า ยากมากที่จะกำจัดความเอนเอียงนี้ แต่ว่า ก็มีผู้เชื่อว่า ความพยายามเพื่อลดความเอนเอียงนี้ จะสนับสนุนให้คนเริ่มพฤติกรรมป้องกันทางสุขภาพ แต่ว่า ก็ยังมีนักวิชาการที่เสนอว่า ความเอนเอียงนี้ไม่สามารถที่จะลดได้[21] ในงานวิจัยที่ทดสอบวิธี 4 อย่างเพื่อลดความเอนเอียงนี้ คือ[21]
ล้วนแต่เป็นวิธีที่ลดความเอนเอียงได้อย่างไม่แน่นอน แต่ว่า การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไปในด้านตรงกับข้าม บ่อยครั้งจะเพิ่มความเอนเอียงขึ้น[21] แม้ว่ามีงานวิจัยที่พยามยามจะลดความเอนเอียงโดยลดความแตกต่างกันจากผู้อื่น อย่างไรก็ดี โดยองค์รวมแล้ว ความเอนเอียงก็จะยังหลงเหลืออยู่บ้าง[16] ถึงแม้ว่างานวิจัยต่าง ๆ จะแสดงว่า ยากที่จะกำจัดความเอนเอียง แต่ก็มีองค์ประกอบบางอย่างที่อาจช่วย ในการลดความแตกต่างของค่าประเมินความเสี่ยงระหว่างตนเองกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง คือ ถ้าทำให้กลุ่มเปรียบเทียบมีความใกล้เคียงกับตน ความเอนเอียงจะสามารถลดลงได้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่หมดสิ้นไป มีงานวิจัยหลายงานที่พบว่า เมื่อให้บุคคลทำการเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อนสนิท ก็แทบจะไม่มีความต่างกันระหว่างค่าประเมินโอกาสว่าเหตุการณ์หนึ่ง ๆ จะเกิดขึ้นระหว่างตนกับเพื่อน[15] นอกจากนั้นแล้ว ถ้าประสบเหตุการณ์จริง ๆ ก็จะนำไปสู่การลดระดับความเอนเอียงนี้[8] คือแม้ว่าจะเฉพาะเจาะจงกับเหตุการณ์ที่ตนประสบเท่านั้น แต่การรู้สิ่งที่ไม่ได้รู้มาก่อน จะมีผลทำให้เกิดการมองในแง่ดีน้อยลงว่า เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้น นโยบาย แผนงาน และการบริหารความเอนเอียงนี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการพยากรณ์ ทั้งในเรื่องการตั้งนโยบาย การวางแผนงาน และการจัดการบริหาร ยกตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการทำงานที่มีการวางแผน มักจะมีการประเมินต่ำเกินไป และผลประโยชน์ที่ได้มักจะมีการประเมินสูงเกินไป เพราะเหตุแห่งความเอนเอียงนี้ คำว่า เหตุผลวิบัติในการวางแผน (planning fallacy) สำหรับปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นคำบัญญัติโดยอะมอส ทเวอร์สกี้ และแดเนียล คาฮ์นะมัน[22][23] เริ่มมีการสั่งสมหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ความเอนเอียงนี้ เป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณในเมกะโปรเจกต์[24]
ความเอนเอียงโดยการมองในแง่ร้ายความเอนเอียงตรงกันข้ามกับความเอนเอียงนี้ก็คือ ความเอนเอียงโดยการมองในแง่ร้าย (อังกฤษ: pessimism bias) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เราประเมินโอกาสที่เหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นกับเรามากเกินไป โดยเปรียบเทียบกับความเอนเอียงโดยการมองในแง่ดี ความแตกต่างก็คือ เรามีความวิตกกังวลกับเรื่องที่มีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต[25] ผู้มีภาวะซึมเศร้ามีโอกาสสูงที่จะมีความเอนเอียงโดยการมองในแง่ร้าย[26][27] ซึ่งเป็นไปได้ว่า เป็นเพราะโดยทั่ว ๆ ไป คนซึมเศร้าจะมีความคิดเชิงลบ มีงานสำรวจหลายงานที่พบว่า ผู้สูบบุหรี่ประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีความเอนเอียงโดยมองในแง่ร้ายเล็กน้อย แต่ว่า เอกสารการตีพิมพ์โดยองค์รวมแสดงผลที่ยังไม่ชัดเจน[28] ดูเพิ่มเชิงอรรถและอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia