ความสัมพันธ์กัมพูชา–ไทย
ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทย มีขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ในสมัยยุคอาณาจักรพระนคร ราชอาณาจักรไทยอยุธยาค่อย ๆ เข้ามาแทนที่จักรวรรดิเขมรที่เสื่อมถอยลงตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 ด้วยปัจจัยหลัก ๆ หลายแคว้นในสมัยพระนครเริ่มเสื่อมอำนาจลงอาณาจักรที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองอย่างสุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง ละโว้ ไม่ขึ้นตรงต่ออาณาจักรพระนครอีกต่อไปทำให้มีแคว้นเกิดใหม่มากขึ้นรวมไปถึงอาณาจักรอยุธยาซึ่งเป็นอาณาจักรเกิดใหม่ อำนาจในอารักขาของฝรั่งเศสแยกกัมพูชาออกจากไทยสมัยใหม่ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 19–20 และความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างรัฐสมัยใหม่ได้สถาปนาขึ้นในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศยังคงซับซ้อน การแบ่งเขตที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิด ความขัดแย้งชายแดนที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปราสาท พระวิหาร ซึ่งถูกนำขึ้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในปี 2505 แต่ยังคงเกิดการปะทะกันของทหารในปี 2551 และ 2554 ความขัดแย้งภายในของกัมพูชาตลอดช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 เข้ามาลุกลามเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยให้การรับผู้ลี้ภัยตามคำสั่งขององค์การสหประชาชาติในขณะนั้น แต่ยังให้การสนับสนุนทางอ้อมแก่ เขมรแดง ด้วยขณะนี้ประเทศไทยมีอำนาจเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุดในเชิงเศรษฐกิจ และเป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับที่หกในกัมพูชา แม้ว่าความสัมพันธ์ส่วนใหญ่จะสงบสุขลงไปบ้างแล้ว แต่ประชาชนของทั้งสองประเทศ ยังคงมีความเป็นปฏิปักษ์อยู่บ้าง และมรดกทางวัฒนธรรมที่มีร่วมกันของทั้งสองประเทศได้ก่อให้เกิดการแข่งขันชาตินิยมอย่างดุเดือด ซึ่งมักแสดงออกมาผ่านสงครามเปลวไฟออนไลน์เกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของและต้นกำเนิดของมรดกดังกล่าว ความตึงเครียดเหล่านี้ยังปะทุขึ้นเป็นความรุนแรงเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกชาตินิยม เหตุการณ์ดังกล่าวรวมถึงเหตุการณ์โจมตีสถานทูตไทยใน กรุงพนมเปญ เมื่อ พ.ศ. 2546 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของไทยกับกัมพูชาลดระดับลง นอกจากนี้ประเทศไทยยังลดระดับความสัมพันธ์ใน พ.ศ. 2552 เพื่อตอบสนองต่อการสนับสนุนของรัฐบาลกัมพูชาต่ออดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่กัมพูชายุติความสัมพันธ์ (มีสถานทูตกัมพูชาประจำกรุงเทพฯ เป็นตัวแทน) สองครั้งใน พ.ศ. 2501 และ พ.ศ. 2504 ระหว่างความขัดแย้งพระวิหาร[1][2] สมัยอยุธยาสมัยอยุธยาตอนกลาง (พ.ศ. 1991–2231)อยุธยาได้รับความบอบช้ำจากสงครามช้างเผือกและสภาพบ้านเมืองอยู่ในสภาพระส่ำระสาย เขมรมักฉวยโอกาสแต่งทัพลอบโจมตีตลบหลังอยุธยาอยู่หลายครั้งโดยเฉพาะระหว่างที่อยุธยาเกิดศึกสงครามกับพม่าและเชียงใหม่เช่นเมื่อครั้ง พ.ศ. 2100 แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จแต่เขมรก็ได้กวาดต้อนชาวอยุธยากลับไปเขมรเป็นจำนวนมาก และเมื่อ พ.ศ. 2101 เขมรได้ยกทัพมาตีอยุธยาอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ เมื่อถึงวันสงกรานต์ขี้นปีใหม่ เขมรได้ยกทัพผ่านทางทะเลจากเมืองเขมรเข้าปล้นโจมตีเมืองเพชรบุรีผ่านช่องทางตำบลคลองกระแชงและประตูบางจานจนอยุธยาเสียเมืองเพชรบุรีให้แก่เขมรทั้งยังถูกเขมรกวาดต้อนชาวเมืองและกระทำทารุณไว้อย่างมาก[3][4] ภายหลังที่อยุธยาประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นแก่หงสาวดีได้และสภาพบ้านเมืองเข้มแข็งเป็นปึกแผ่น เขมรก็กลับยอมอ้อนน้อมเป็นมิตรไมตรีต่ออยุธยาโดยฝ่ายอยุธยาไม่ทันฉุดคิดว่าเขมรอาจคิดทรยศในภายหลังได้ แม้ว่าเขมรส่งกำลังทหารร่วมรบอยุธยาในศึกพม่าและเชียงใหม่ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชแต่กลับกระด้างกระเดื่องไม่ถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหาอุปราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) จึงถูกว่ากล่าวติเตียน เขมรจึงประกาศตัดความสัมพันธ์กับอยุธยาตั้งแต่คราวนั้น[3] เมื่อ พ.ศ. 2111 ระหว่างที่ข้าศึกพม่ากับเชียงใหม่ประชิดกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2110 เดือนสิบสองนั้น เขมรก็ได้แต่งทัพลอบเข้าตีหัวเมืองตะวันออกของอยุธยาจนฝ่ายอยุธยาต้องเข้าปราบปรามเขมรจับเป็นเชลยศึกได้เป็นจำนวนมาก ต่อมาภายหลังเขมรก็ลอบเข้าตีอยุธยาอีกครั้งเมื่อคราวอยุธยาติดศึกพม่ากับเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2113[3][5][6] ถึงรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงเคืองแค้นว่าเขมรนั้นไม่มีสัจธรรมและคิดไม่ซื่อต่ออยุธยา[7] เมื่อยามอยุธยาเข้มแข็มก็ยอมอ่อนน้อมเป็นพระราชไมตรีแต่ยามอยุธยาเกิดศึกเมื่อใดพอเห็นทีว่าฝ่ายอยุธยาจะเพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้แก่ข้าศึก เขมรกลับฉวยโอกาสแต่งทัพเข้าต่อรบตลบหลังอยุธยาเสียทุกครั้ง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2126 ฤดูแล้ง ราชสำนักอยุธยาจึงยกทัพหลวงไปตีเมืองละแวกเพื่อมิให้เกิดเสี้ยนหนาม จับได้ตัวพญาละแวก (สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (นักพระสัตถา)) กับพระศรีสุริโยพรรณ (พระศรีสุพรรณมาธิราช) พระราชอนุชา และชาวเขมรได้เป็นจำนวนมาก แม้พญาละแวกร้องขอวิงวอนให้ไว้ชีวิตสำนึกผิดที่ได้กระทำความชั่วช้าแก่อยุธยามาแต่หนหลังแต่อยุธยาก็ไม่ได้โอนอ่อนไว้ชีวิตตามคำวิงวอน[3] สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทราบดีว่าเขมรย่อมไม่ซื่อสัตย์แก่ผู้ใดเลยจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้ตั้งพระราชพิธีปฐมกรรม ณ เมืองละแวก โปรดให้ตัดศีรษะพญาละแวกแล้วเอาโลหิตสด ๆ มาชำระพระบาทเสียให้ทรงหายแค้น แล้วโปรดให้นายทัพนายกองของอยุธยาคุมพระศรีสุริโยพรรณและชาวเขมรเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาก่อน พระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองละแวกเป็นเวลา 7 วันเศษแล้วจึงเสด็จกลับและยังโปรดให้ชาวเขมรเหล่านั้นเป็นอิสระมิได้ทรงลงพระราชอาญาในภายหลังด้วยเหตุว่ามิได้มีพฤฒิกรรมอย่างพญาละแวก[3] ปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ว่า:–
อย่างไรก็ตามหลักฐานร่วมสมัยของชาวต่างชาติ เช่น เอกสารของอันโตนิโอ เด มอร์กา (Antonio de Morga) เอกสารของชาวสเปนชื่อบลัส รุยซ์ (Blas Ruiz de Hernán González) และชาวโปรตุเกสชื่อดิโอโก้ เวโลโซ (Diogo Veloso) ระบุว่าพญาละแวกไม่ได้ถูกปฐมกรรมแต่ได้หลบหนีไปยังอาณาจักรล้านช้างและสวรรคตระหว่างทางก่อนที่จะถึงเวียงจันทร์[9] ส่วน พงศาวดารเขมร ระบุว่าพญาละแวกหลบหนีไปได้และสิ้นพระชนม์ที่ด้วยไข้ป่าในภายหลังที่เมืองสตึงแตรง สมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. 2231–2310)ตลอดสมัยอยุธยาตอนปลายมีชาวเขมรรวมถึงเชื้อพระวงศ์เขมรได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารราชสำนักอยุธยาอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ ชาวเขมรที่อพยพเข้ามาเหล่านี้แบ่งกว้าง ๆ ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มชาวเขมรเก่า (อยุธยาเรียกกลุ่มเขมรเก่าว่าขอม) และกลุ่มชาวเขมรใหม่ซึ่งราชสำนักอยุธยาอนุญาตให้ชาวเขมรตั้งบ้านเรือนและถูกสักเลกสังกัดในระบบไพร่[10] ในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์มีเจ้านายเขมรลี้ภัยมายังอยุธยาจากปัญหาการจราจลแย่งชิงราชสมบัติในราชสำนักเขมรก่อนใกล้จะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 ชุมชนชาวเขมรในอยุธยา เช่น ชุมชนบ้านเขมร (พื้นที่ย่านบางสามเสน) บริเวณวัดค้างคาว เกาะเมืองอยุธยา ชุมชนบ้านขอม (พื้นที่ตำบลสามเรือน อำเภอบางปะอิน) เป็นต้น[10] สมัยกรุงธนบุรีเขมรตกเป็นเมืองขึ้นของสยามนับตั้งแต่สมัยอยุธยาล่วงมาถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ครั้นกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 แล้ว เขมรจึงตั้งตัวเป็นอิสระและแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อสยามบ่อยครั้ง[11] ในสมัยกรุงธนบุรีตอนต้น เมื่อคราวเขมรเกิดจลาจลขึ้นในเมือง เจ้านายเขมรได้ลี้ภัยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารฝ่ายสยาม[12]: 25 เมื่อครั้งฝ่ายสยามให้เขมรส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแต่ฝ่ายเขมรกลับกระทำกระด้างกระเดื่องว่าพระเจ้ากรุงสยามพระองค์ใหม่ (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) "ไม่ใช่เชื้อเจ้านายเก่าไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น"[12]: 25 สยามจึงยกทัพเข้ายึดเมืองเสียมราฐและเมืองพระตะบองถึง 2 ครั้งเมื่อ พ.ศ. 2312 และ พ.ศ. 2314[12]: 26 และยังแต่งตั้งเจ้านายเขมรที่ลี้ภัยมายังกรุงธนบุรีออกไปปกครองเมืองเขมร[10] เมื่อ พ.ศ. 2314 เขมรเกณฑ์ไพร่พลยกทัพมาตีเมืองตราดและเมืองจันทบุรี กวาดต้อนเอาชาวเมืองไปจำนวนมาก ฝ่ายสยามจึงจัดทัพยกไปตีเขมรจนต้องลี้ภัยไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าเวียดนาม ภายหลังฝ่ายสยามทราบว่าเวียดนามยังได้เข้าช่วยเขมรจึงเข้ายึดเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ และกวาดต้อนชาวเขมรราวหมื่นเศษเข้ามายังกรุงธนบุรีแล้วให้ชาวเขมรไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองราชบุรี[12]: 26–27 ต่อมาในปี พ.ศ. 2315 เขมรเข้าเจรจาเข้าเจรจาขอสงบศึกและจะยอมเป็นเมืองประเทศราชแก่สยามแต่ฝ่ายสยามไม่ไว้วางใจและว่าฝ่ายเขมรอาจคิดทรยศอย่างใดอย่างหนึ่งและเมื่อคราวเวียดนามเกิดจราจลขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2319 เจ้าเมืองไซง่อนมาขอความช่วยเหลือด้านไพร่พลและเสบียงอาหารจากเขมรแต่ได้รับการปฏิเสธ[12]: 30 เมื่อ พ.ศ. 2324 ฝ่ายสยามยกทัพไปปราบเขมรซึ่งคิดฝักใฝ่กับฝ่ายเวียดนามโดยมีแผนจะผนวกดินแดนเขมรเข้ากับสยามอย่างเด็ดขาดและสถาปนาเจ้านายสยามไปปกครองเขมรอันเป็นการขจัดความยุ่งยากและเสี้ยนหนามทางการเมือง แต่ยังไม่ทันลุล่วงก็เกิดเหตุจราจลในกรุงธนบุรีเสียก่อนแผนการผนวกดินแดนเขมรเข้ากับสยามจึงต้องหยุดชะงัดลงไปพร้อมกับการสิ้นสมัยกรุงธนบุรี[11][12]: 36 สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส (พ.ศ. 2406–96)เมื่อ พ.ศ. 2449 พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ทรงแต่งจดหมายถึงข้าหลวงใหญ่รัฐบาลอินโดจีนฝรั่งเศส ณ กรุงพนมเปญ เรียกร้องให้ฝรั่งเศสยึดดินแดนจากสยามกลับคืนมาเป็นของเขมรโดยยึดถือเอาเขตแดนของโบราณของอาณาจักรพระนครก่อนที่สยามจะรุกรานดินแดนรวมทั้งบริเวณที่ชาวกัมพูชายังคงอาศัยอยู่และรักษาชาติเขมรไว้ได้อย่างสมบูรณ์ดังต่อไปนี้ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดเสียมราฐ จังหวัดสตึงแตรง โตนเลเรปู (บริเวณหลี่ผีของลาว) มลูไพร ขุขันธ์ (จังหวัดศรีสะเกษ) ไพรสาร สตึงปอ ซอเรน (จังหวัดสุรินทร์) สังเกียจ (อำเภอสังขะ?) เซียงรอง (นางรอง หรือจังหวัดบุรีรัมย์?) โกเรียจเสมา (โคราช หรือจังหวัดนครราชสีมา) เหนือภูเขาพนมดังเร็ก (จังหวัดอุบลราชธานี) เกาะกง จังหวัดตราด และจันทบอร์ (จันทบูรหรือจังหวัดจันทบุรี) ไปจนถึงปากน้ำ (จังหวัดสมุทรปราการไปจนถึงพระนครคือกรุงเทพมหานคร) และอาณาจักรบาสัก (แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว)[13] ข้อเรียกร้องดังกล่าวปรากฏในจดหมาย Lettre du Roi du Cambodge, S.M. Sisowath, au Résident Supérieur de la République Française au Cambodge ลงนามโดยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ เขียนขึ้นที่พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1906[13] สมัยสงครามเย็นในช่วงทศวรรษ 1970 เขมรแดง ปกครองกัมพูชาในฐานะ กัมพูชาประชาธิปไตย ที่ได้ก่อการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา ส่งผลทำให้ชาวกัมพูชาเสียชีวิตไปกว่าครึ่งประเทศของจำนวนประชากรทั้งหมดในขณะนั้น ทำให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาจำนวนมากหนีไปยังชายแดนไทยเพื่อหลบหนีระบอบการปกครองของ พลพต เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2522 เวียดนาม ได้ทำการบุกกัมพูชาและถอดถอนรัฐบาลเขมรแดงออกจากอำนาจ และแทนที่ด้วย สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต และทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็น สงครามที่สิบเอ็ดปี ประเทศไทยปฏิเสธที่จะยอมรับรัฐบาล PRK และยังคงสนับสนุนฝ่ายกัมพูชาประชาธิปไตยที่ถูกโค่นล้ม แม้ว่าเขมรแดงและทั้งสองกลุ่มที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์จะรวมตัวกันจัดตั้ง รัฐบาลกัมพูชาพลัดถิ่น ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ อาเซียน และ มหาอำนาจตะวันตก อื่น ๆ ในช่วงเวลานั้น ทหารเวียดนาม โจมตีค่ายผู้ลี้ภัย ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดฤดูแล้งประจำปี รัฐบาลไทยจัดตั้งหน่วย ทหารพราน ขึ้นเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยแถวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อคอมมินิสต์ฝั่งยุโรปได้ล่มสลายลง รวมไปถึงเหตุการณ์ล่มสลายของสหภาพโซเวียต ส่งผลทำให้กองทัพเวียดนามต้องถอนทหารออกจากกัมพูชาในปลาย พ.ศ. 2532 นำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพปารีส พ.ศ. 2534 ซึ่งปูทางไปสู่การฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ใน พ.ศ. 2536 การจลาจลใน พ.ศ. 2546ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 เกิดการจลาจล ในกรุงพนมเปญหลังจากหนังสือพิมพ์กัมพูชาเผยปพร่การรายงานอย่างไม่ถูกต้องว่านักแสดงหญิงสาวชาวไทย สุวนันท์ คงยิ่ง ที่ระบุว่า นครวัด เป็นของประเทศไทยอย่างถูกต้อง และเมื่อวันที่ 29 มกราคม มีการเผาสถานทูตไทย และ ทำให้เกิดผู้อพยพชาวไทยที่อยู่ในกัมพูชาหลายร้อยคนหนีออกนอกประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง[14] ชาวกัมพูชาในกรุงพนมเปญบางส่วน ได้เผารูปพระบรมชายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทำให้ชาวไทยบางส่วนไม่พอใจอย่างมากทำให้มีการประท้วงหน้าสถานทูตกัมพูชา เผาธงชาติกัมพูชา มีการเผารูปพระนโรดม สีหนุ ส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องตัดสัมพันธ์ทางการฑูตกับกัมพูชาในที่สุด และได้เริ่มปฎิบัติการณ์โปเชงตง[15] นายกรัฐมนตรี ฮุนเซน สั่งห้ามรายการและภาพยนตร์ไทยทางสถานีโทรทัศน์ ข้อพิพาทชายแดน พ.ศ. 2551ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทยในเรื่องที่ดินที่อยู่ติดกันทำให้เกิดความรุนแรงเป็นระยะ ๆ ![]() การปะทะกันทางทหารเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551[16] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 มีหลักฐานว่าเศษก้อนหินจากเขาพระวิหาร 66 ก้อนในวัดพระวิหารถูกกล่าวหาว่าได้รับความเสียหายจากทหารไทยที่ยิงข้ามชายแดน[17] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการกับ Google Maps เนื่องจากมีการพรรณนาพื้นที่ลุ่มน้ำตามธรรมชาติว่าเป็นเขตแดนระหว่างประเทศ แทนที่จะเป็นเส้นแบ่งเขตที่แสดงบนแผนที่ฝรั่งเศส พ.ศ. 2450 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศใช้ใน พ.ศ. 2505 ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ขณะที่เจ้าหน้าที่ไทยอยู่ในกัมพูชาเพื่อเจรจาข้อพิพาท กองทหารไทยและกัมพูชาได้ปะทะกัน ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต[18] การโจมตีด้วยปืนใหญ่ในพื้นที่เกิดขึ้นระหว่างความขัดแย้ง รัฐบาลกัมพูชาอ้างว่าเกิดความเสียหายกับวัด[19] อย่างไรก็ตาม ภารกิจของ ยูเนสโก ไปยังพื้นที่ดังกล่าวเพื่อกำหนดขอบเขตของความเสียหายบ่งชี้ว่าการทำลายล้างเป็นผลมาจากการยิงของทั้งกัมพูชาและไทย[20][21] ทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีอีกฝ่าย และต่างตำหนิอีกฝ่ายที่เป็นต้นเหตุของความรุนแรง[22] เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 กัมพูชาได้ร้องเรียนอย่างเป็นทางการในจดหมายถึงสหประชาชาติว่า "การกระทำของทหารไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ละเมิดข้อตกลงปารีสปี 2534 กฎบัตรสหประชาชาติ และคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505" ตามที่จดหมายดังกล่าวอ้าง[23] เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ รัฐบาลกัมพูชาอ้างว่าวัดได้รับความเสียหายอย่างมาก ผู้บัญชาการทหารกัมพูชากล่าวว่า "ยอดหลังคาของปราสาทพระวิหารของเราพังทลายลงเป็นผลโดยตรงจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของฝั่งไทย"[24] อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวในไทยพูดถึงความเสียหายเพียงเล็กน้อย โดยอ้างว่าทหารกัมพูชายิงจากภายในวัด[25] อาเซียน ซึ่งทั้งสองรัฐสังกัดอยู่ได้เสนอที่จะไกล่เกลี่ยประเด็นนี้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยืนกรานว่าการหารือทวิภาคีจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ดีกว่า[22] เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฝ่ายขวา เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออก เนื่องจาก "ล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยของชาติ"[22] การประชุมมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่จัดขึ้นใน กรุงปารีส เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 มุ่งมั่นที่จะยอมรับข้อเสนอการจัดการวัดของกัมพูชา ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงถอนตัวออกจากงาน โดยตัวแทนชาวไทยอธิบายว่า “เราขอถอนตัวเพื่อบอกว่าเราไม่ยอมรับการตัดสินใจใด ๆ จากการประชุมครั้งนี้”[26] หลังจากกัมพูชาร้องขอเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ให้สั่งให้กองทัพไทยออกจากพื้นที่ ผู้พิพากษา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ด้วยคะแนนเสียง 11 – 5 เสียง จึงมีคำสั่งให้ ทั้งสอง ประเทศถอนกำลังทหารทันที และกำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม บนกองกำลังตำรวจของพวกเขา ศาลกล่าวว่าคำสั่งนี้จะไม่กระทบต่อคำตัดสินขั้นสุดท้ายว่าพรมแดนในพื้นที่ระหว่างไทยและกัมพูชาควรตกอยู่ที่ไหน[27] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า ทหารไทยจะไม่ถอนตัวออกจากพื้นที่พิพาทจนกว่ากองทัพของทั้งสองประเทศจะตกลงถอนตัวร่วมกัน “ผมไม่ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายที่จะมารวมตัวกันและพูดคุยกัน” เขากล่าว โดยเสนอว่าคณะกรรมการร่วมชายแดนที่มีอยู่จะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการวางแผนการถอยกลับร่วมกัน ICJ ตัดสินเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ว่าพื้นที่รอบ ๆ และด้านล่างปราสาทเป็นของกัมพูชา และกองกำลังความมั่นคงของไทยที่ยังอยู่ในพื้นที่นั้นจะต้องออกไป[28][29] เช่นเดียวกับข้อพิพาทเรื่องพระวิหาร ความรู้สึกชาตินิยมในทั้งสองประเทศยังได้โต้แย้งองค์ประกอบอื่น ๆ ของกัมพูชาและมรดกทางวัฒนธรรมที่มีร่วมกันของไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ปี 2010 สิ่งนี้กลายเป็นการแข่งขันทางออนไลน์ระหว่าง ชาวเน็ต เกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของและต้นกำเนิดของมรดกที่มีร่วมกัน ซึ่งบางครั้งก็ปะทุขึ้นเมื่อเกิดความโกรธเคืองทางออนไลน์และ สงครามเปลวไฟ เมื่อมรดกดังกล่าวกลายเป็นประเด็นข่าว เหตุการณ์สำคัญในอดีต ได้แก่ การโต้เถียงเกี่ยวกับการเต้นรำสวมหน้ากากแบบดั้งเดิมของ ละคร โขน เมื่อได้รับการพิจารณาให้รวมไว้ใน รายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของ UNESCO ในปี 2559 และการโต้แย้งเรื่องศิลปะการต่อสู้แบบ เขมร / มวยไทย ในระหว่าง การแข่งขันซีเกมส์ 2566[30][31] ดูเพิ่ม
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia