คดีพรหมพิราม
คดีพรหมพิราม เป็นคดีรุมโทรมแล้วฆ่าในอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2520 ผู้เสียหายเป็นหญิงผู้หนึ่งซึ่งถูกชาวบ้านอำเภอดังกล่าวร่วมกันชำเราแล้วบีบคอตาย ก่อนนำศพมาวางให้รถไฟทับขาดเพื่ออำพรางคดี แต่ตำรวจไม่ยอมดำเนินคดี เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของผู้กระทำความผิด จึงยุติคดีว่าเป็นอุบัติเหตุ จนชาวบ้านบางกลุ่มจากอำเภอเดียวกันนำเรื่องร้องเรียนสื่อมวลชน ทำให้สื่อมวลชนสืบสวนและตีแผ่ นำมาสู่การรับรู้และความสนใจในวงกว้าง ตำรวจจึงจำต้องรื้อฟื้นขึ้นสืบสวนใหม่[1][2] การสืบสวนของตำรวจพบว่า ผู้ก่อเหตุมีมากถึง 30 คน แต่ที่สุดแล้ว ดำเนินคดีและลงโทษได้ราว 10 คน ที่เหลือต้องปล่อยไปเพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ[3] คดีนี้ได้รับการเรียบเรียงเป็นนวนิยายและภาพยนตร์[4] ความเป็นมาคดีนี้เริ่มจากการพบศพหญิงถูกรถไฟทับที่อำเภอพรหมพิรามเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2520 แต่ตำรวจไม่ยอมสืบสวนต่อ โดยยุติคดีว่าเป็นอุบัติเหตุ[2] ต่อมาในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2520 ชาวบ้านราว 20 คนจากอำเภอดังกล่าวเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า กรณีนี้เป็นการฉุดหญิงไปชำเราจนตาย แล้วนำร่างไปวางให้รถไฟทับเพื่ออำพรางคดี แต่ตำรวจเพิกเฉย เพราะผู้กระทำความผิดเป็นลูกหลานของตำรวจเองและเป็นผู้มีอิทธิพล[1][4] ทำให้สื่อมวลชนเข้าสืบสวนและตีแผ่ จนเป็นที่สนใจในวงกว้าง และตำรวจจำต้องรื้อฟื้นขึ้นสืบสวนใหม่[2] การสืบสวนพันตำรวจเอก สมชาย ไชยเวช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก ได้รับมอบหมายให้ทำคดีนี้[1][5] ไม่มีรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับผู้เสียหาย นอกจากว่า เป็นหญิงอายุราว 20 ปี ผิวดำแดง สูง 155 เซนติเมตร หน้ากลม ผมสั้น วันเกิดเหตุสวมเสื้อสีน้ำตาลและกระโปรงผ้าดิบสีขาว[1] บางแหล่งข้อมูลว่า ผู้เสียหายชื่อ สำเนียง[5] ตำรวจพบญาติผู้เสียหายในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2520 โดยได้บิดาและมารดาของผู้เสียหายมายืนยันศพ และให้การว่า ผู้เสียหายมีสติไม่สมประกอบ เคยถูกชำเราจนตั้งครรภ์มาแล้ว เมื่อคลอดแล้วออกจากบ้านไปโดยขึ้นรถไฟที่สถานีบ้านดารา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์[1] การสืบสวนต่อได้ความว่า วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2520 เวลาราว 23 นาฬิกา ผู้เสียหายขึ้นรถไฟขบวนเร็วที่ 37 เชียงใหม่–กรุงเทพฯ จากสถานีบ้านดาราโดยไม่มีตั๋ว จึงถูกเจ้าหน้าที่ไล่ลงบริเวณสถานีพรหมพิราม[4] เมื่อลงรถไฟแล้ว ผู้เสียหายเดินโซเซด้วยความหิว เพราะไม่มีเงินติดตัว จนไปพบชายวัยรุ่นสองคนบอกว่า จะพาไปรับประทานอาหารที่งานแต่งงานอีก 300 เมตรข้างหน้า แต่กลับพาไปไร่ข้าวโพด แล้วเรียกเพื่อนอีกสองคนออกมาช่วยกันฉุดลากเข้าไปชำเราทีละคน[1] เมื่อคนที่งานแต่งงานทราบเรื่อง ก็พากันมาร่วมชำเราด้วย[1] การชำเราดังกล่าวดำเนินไปสองชั่วโมง โดยมีชาวบ้านในละแวกนั้นซุ่มดู แต่ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือผู้เสียหาย[1] จนกระทั่งผู้เสียหายถูกบีบคอตายระหว่างถูกชำเรา จากนั้น ผู้ชำเราช่วยกันแบกศพผู้เสียหายไปวางให้รถไฟทับบนรางรถไฟเพื่ออำพรางคดี โดยเจาะจงให้ทับตรงอวัยวะเพศเพื่อทำลายร่องรอยการชำเราด้วย[1] รถไฟขบวนเชียงใหม่–พิษณุโลกแล่นมาทับร่างผู้เสียหายจนศีรษะขาดในเวลา 3 นาฬิกาของวันถัดมา กลุ่มผู้ชำเราจึงหิ้วศีรษะผู้เสียหายไปทางทิศตะวันตกห่างจากทางรถไฟไป 20 เมตรเพื่อทำพิธีไสยศาสตร์[1] พิธีนี้ทำขึ้นเพื่อสะกดวิญญาณ และเป็นเบาะแสหนึ่งที่ทำให้ตำรวจเห็นว่า ความตายครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ[5] การดำเนินคดีตำรวจได้ผู้ต้องหา 30 คน[4] ผู้ต้องหาอายุน้อยที่สุด 9 ปี มากที่สุด 65 ปี[6] พันตำรวจเอก สมชาย ไชยเวช ยังระบุว่า ระหว่างสืบสวน มีผู้ต้องหาบางคนข่มขู่พยานให้ปิดปากเงียบ โดยพบจดหมายข่มขู่ว่า ถ้าขืนปากมาก จะจับพยานขึงพืดขวางรางรถไฟเหมือนผู้เสียหาย[1][7] อย่างไรก็ดี ทางการไทยสามารถดำเนินคดีและลงโทษได้จริงเพียง 7–8 คน[3] บางแหล่งข้อมูลว่า 8–9 คน[2] และบางแหล่งว่า 10 คน[1] ส่วนที่เหลือต้องปล่อยไปเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ[3] ยังมีตำรวจอีกสองคนถูกดำเนินการทางวินัยฐานปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง เนื่องจากไม่พิมพ์ลายนิ้วมือผู้เสียหายเก็บไว้ ทำให้สืบสวนยาก[1] ผลสืบเนื่องคดีนี้ทำให้ชาวอำเภอพรหมพิรามถูกมองในแง่ลบมาจนถึงปัจจุบัน[3] และถูกเชื่อมโยงบ่อยครั้งเมื่อเกิดกรณีชำเรา เช่น การเชื่อมโยงกับกรณีชาย 40 คนร่วมกันชำเราเด็กหญิงอายุ 14 ปีที่บ้านเกาะแรด ตำบลหล่อยูง อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา เมื่อ พ.ศ. 2560[4][8] เมื่อได้ยินคดีนี้ ชาวอำเภอพรหมพิรามบางคนฉุนเฉียว บางคนชินชา และบางคนต้องการให้สังคมลืมเลือน[3] ในวัฒนธรรมประชานิยมนที สีทันดร (นามปากกาของสันติ เศวตวิมล) นำคดีนี้มาเขียนนวนิยายชื่อ พรหมพิลาป ซึ่งสหมงคลฟิล์มนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ชื่อ คนบาป พรหมพิราม ออกฉายใน พ.ศ. 2546 แต่ก่อนฉาย ถูกชาวอำเภอพรหมพิรามต่อต้าน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น คืนบาป พรหมพิราม[4] อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia