การสังหารหมู่บนแม่น้ำโขง
การสังหารหมู่บนแม่น้ำโขง (อังกฤษ: Mekong River massacre) เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าของวันที่ 5 ตุลาคม 2011 เมื่อเรือขนส่งสินค้าสัญชาติจีนสองลำถูกโจมตีขณะล่องอยู่บนแม่น้ำโขงช่วงสามเหลี่ยมทองคำ พรมแดนระหว่างประเทศพม่ากับประเทศไทย เจ้าหน้าที่บนเรือชาวจีนทั้ง 13 คนบนเรือทั้งสองลำถูกฆาตกรรมและทิ้งศพลงแม่น้ำ[1] เหตุการณ์นี้เป็นการโจมตีชาวจีนนอกเขตแดนของจีนที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่[2] รัฐบาลจีนตอบโต้โดยการสั่งหยุดการขนส่งทางเรือบนแม่น้ำโขงชั่วคราว และสร้างข้อตกลงร่วมระหว่างไทย พม่า และลาวเพื่อมีสิทธิ์ในการตรวจตราแม่น้ำร่วมกัน[2] เหตุการณ์นี้ยังเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดสนธิสัญญาเนปยีดอ (Naypyidaw Declaration) และความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อยับยั้งการค้ายาในพื้นที่[3] ในวันที่ 28 ตุลาคม 2011 เจ้าหน้าที่ชาวไทยจับกุมทหารกองกำลังผาเมืองจำนวนเก้าคนซึ่งต้องสงสัยมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ แต่ต่อมาทั้งหมดได้ "สูญหายเข้าไปในกองทัพ เพื่อหลบหลีกจากกระบวนการยุติธรรม"[4] ในที่สุด พ่อค้ายา หน่อคำ และสมุนอีกสามคน ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยรัฐบาลจีนด้วยความผิดเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมหมู่ในครั้งนี้[5] ปูมหลังแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไหลจากประเทศจีน ผ่านพม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ก่อนจะไหลลงทะเลจีนใต้ และเป็นแม่น้ำสายหลักในการค้าขายระหว่างมณฑลยูนนานของประเทศจีนกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[6] แม่น้ำช่วงหนึ่งของแม่โขงไหลผ่านสามเหลี่ยมทองคำซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างไทย พม่า และลาว ภูมิภาคนี้เป็นที่รู้จักในฐานะพื้นที่ที่กฎหมายเข้าไม่ถึง (lawlessness) และขึ้นชื่อเรื่องการขนส่งยาเสพติด[2] เจ้าของเรือหนึ่งในสองลำที่ถูกปล้นระบุว่าเรือของจีนแทบทุกลำในพื้นที่ล้วนเคยถูกปล้นโดยแก๊งแม่น้ำมาแล้ว[7] เหตุการณ์
เจ้าหน้าที่บนเรืออีกลำที่เห็นเหตุการณ์อ้างว่ามีกลุ่มชายพร้อมอาวุธปืนจำนวนแปดคนบุกเข้าเรือ "หัวผิง" และ "ยฺวี่ซิ่ง 8" ในช่วงเช้าของวันที่ 5 ตุลาคม 2011[7] โดยดหตุการณ์เกิดขึ้นในน่านน้ำของพม่า[2] ต่อมาในวันนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำของไทยจากจังหวัดเชียงรายได้กู้เรือหลังการโจมตีด้วยปืนบนเรือ และพบแอมเฟตามีน 900,000 เม็ด มูลค่ามากกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[7] ส่วนศพของเหยื่อชาวจีนถูกเก็บกู้ขึ้นมาจากแม่น้ำในภายหลัง ทั้งหมดล้วนถูกยิงหรือแทง บางส่วนถูกมัดและปิดตา[9] การสืบสวนผู้บัญชาการตำรวจภูธรเชียงรายระบุว่าแก๊งก์ค้ายาเรียกร้องเงินคุ้มกันจากเรือบนแม่น้ำโขง และบางทีก็ปล้นเรือเพื่อบังคับให้ขนส่งของผิดกฎหมายและยาเสพติด[9] เจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยแต่แรกว่าเหตุการณ์นี้มีหน่อคำ ชายชาวฉาน สัญชาติพม่า วัยสี่สิบปี พ่อค้ายาและโจรสลัดแห่งสามเหลี่ยมทองคำ เป็นผู้บงการ[2][7] รวมถึงเชื่อกันว่าหน่อคำเคยเป็นลูกมือของอดีตพ่อค้ายา ขุนส่า[10] และหัวหน้าแก๊งที่มีสมาชิกกว่า 100 คน ผู้ก่อการค้ายา ขนส่งยา ลักพาตัว ฆาตกรรม และปล้นเรือสินค้าบนแม่น้ำโขงเป็นเวลาหลายปี[6] อย่างไรก็ตาม การสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมพบส่วนพัวพัน[11] กับทหารไทยจากกองกำลังผาเมืองซึ่งเป็นกองกำลังกำจัดยาเสพติดของกองทัพไทย[2] หลังการไล่ล่าหน่อคำโดยเจ้าหน้าที่ทางการทั้งจีนและไทย ในปลายเดือนเมษายน 2012 เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของประเทศลาวสามารถจับกุมหน่อคำได้ในแขวงบ่อแก้ว[10] และส่งตัวไปยังประเทศจีนในเดือนพฤษภาคม[2] หน่อคำรับผิดต่อทางการจีนว่าเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรม ส่วนรัฐบาลพม่ามีแผนที่จะส่งตัวผู้สมรู้ร่วมคิดไปยังจีนเพิ่มเติม[10] กระบวนการยุติธรรมในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2012 ศาลแขวงคุนหมิง (China's Intermediate People's Court of Kunming) ในมณฑลยูนนานตัดสินประหารชีวิตหน่อคำและพวกอีกสามคน ในจำนวนนี้ หนึ่งคนมาจากประเทศไทย, หนึ่งคนจากประเทศลาว และอีกคนรัฐบาลจีนระบุว่า "ไม่มีสัญชาติ" นอกจากนี้ยังมี Zha Bo และ Zha Tuobo ซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตโดยลดหย่อนโทษและจำคุกแปดปีตามลำดับ จำเลยทั้งหกถูกปรับจำนวน 6,000,000 หยวน ($960,000) ขณะตัดสินมีผู้สังเกตการณ์ราว 300 คน ซึ่งมีทั้งญาติผู้เสียชีวิต สื่อมวลชน และผู้แทนทูตจากไทยและลาว[12] ทั้งสี่คนถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดสารพิษเมื่อ 1 มีนาคม 2013[5] ส่วนทหารกองกำลังผาเมืองของไทยทั้งเก้าคนที่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ ซึ่งในขณะนั้น พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และมี พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ก็ยังคงอยู่ในกองทัพเป็นปรกติ และคดียังถูกดองไว้ในชั้นอัยการ ยังไม่ได้รับการลงโทษใดๆเลย ในวัฒนธรรมสมัยนิยมภาพยนตร์เรื่อง เชือด เดือด ระอุ (กำกับโดย ดันเต หลั่ม) ได้เค้าโครงมาจากเหตุการณ์นี้ ออกฉายเมื่อปี 2016[11] รายได้ 1.18 พันล้านหยวน และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์รายได้สูงสุดของจีน[13][14] อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia