การค้าประเวณีเด็ก
การค้าประเวณีเด็ก (อังกฤษ: Prostitution of children, child prostitution) เป็นการค้าประเวณีที่เกี่ยวกับเด็ก เป็นรูปแบบหนึ่งของการฉวยประโยชน์การค้าทางเพศจากเด็ก เด็กในที่นี้มักจะหมายถึงผู้เยาว์ หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในเขตกฎหมายโดยมาก การค้าประเวณีเด็กผิดกฎหมายโดยเป็นส่วนของกฎหมายห้ามการค้าประเวณีโดยทั่ว ๆ ไป การค้าประเวณีเด็กมักจะปรากฏในรูปแบบของการค้าเซ็กซ์ (sex trafficking) ที่เด็กถูกลักพาตัว หรือถูกหลอกให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้าเพศ หรือว่า เป็นเซ็กซ์เพื่อการอยู่รอด ที่เด็กจะร่วมกิจกรรมทางเพศแลกเปลี่ยนกับปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อชีวิตรวมทั้งอาหารและที่อยู่อาศัย การค้าประเวณีเด็กมักจะเกี่ยวข้องกับสื่อลามกอนาจารเด็ก และบางครั้งจะเกิดขึ้นคาบเกี่ยวกัน และมีคนที่เดินทางไปต่างประเทศเพื่อจะเที่ยวเซ็กซ์ทัวร์เด็ก งานวิจัยแสดงว่า อาจจะมีเด็กมากถึง 10 ล้านคนทั่วโลกที่ค้าประเวณี[2] โดยมีปัญหาหนักที่สุดในทวีปอเมริกาใต้และเอเชีย แต่ก็เป็นปัญหาทั่วโลก[3] ทั้งในประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว[4] สหประชาชาติได้กำหนดว่า การค้าประเวณีเด็กผิดกฎหมายสากล โดยมีการรณรงค์และองค์กรต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านการปฏิบัติการเช่นนี้ เด็กโดยมากที่เกี่ยวข้องเป็นหญิง อาจจะอายุเพียงแค่ 4-5 ขวบ เรียนน้อยมากและถูกคนแปลกหน้าหลอกได้ง่าย นิยามมีนิยามหลายอย่างสำหรับการค้าประเวณีเด็ก สหประชาชาตินิยามว่า "การผูกมัดว่าจ้างเด็กหรือการให้บริการเด็ก เพื่อทำกิจกรรมทางเพศแลกกับเงินหรือประโยชน์อื่น ๆ โดยทำกับบุคคลนั้นหรือกับบุคคลอื่น"[5] ส่วน "อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของเด็ก" (Convention on the Rights of the Child) แห่งสหประชาชาติ นิยามว่า "การได้มา การจัดหา หรือการเสนอให้ ซึ่งบริการของเด็ก หรือการชักชวนเด็กให้ร่วมกิจกรรมทางเพศเพื่อค่าตอบแทนหรือรางวัลทุกรูปแบบ" โดยทั้งสองเน้นว่า เด็กเป็นเหยื่อของการถูกฉวยประโยชน์ แม้ว่าดูเหมือนจะให้ความยินยอม[6] ส่วน "อนุสัญญาว่าด้วยรูปแบบเลวที่สุดของแรงงานเด็กปี 1999" ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) นิยามว่า "การใช้ การจัดหา หรือการเสนอให้ เด็กเพื่อประเวณี"[7] ตาม ILO ณ กรุงเจนีวา การค้าประเวณีและสื่อลามกอนาจารเด็กเป็นรูปแบบหลักของการฉวยประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ซึ่งมักจะกล้ำกัน[3] โดยการค้าประเวณีบางครั้งใช้อธิบายเป็นส่วนของรูปแบบที่กว้างกว่าของการฉวยประโยชน์การค้าทางเพศจากเด็ก (CSEC) โดยไม่รวมเอาแบบที่ปรากฏอื่น ๆ ของ CSEC เช่นการแต่งงานเด็ก การใช้แรงงานเด็กในบ้าน และการค้าเด็กเพื่อเซ็กซ์ (การลักลอบพาเด็กเพื่อค้าเซ็กซ์)[8] แต่ว่า คำว่า การค้าประเวณีเด็ก ก็ยังเป็นเรื่องโต้แย้งกันอยู่ คือ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกล่าวว่า "คำแสดงนัยความคิดว่าเป็นการเลือกทำ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น"[9] กลุ่มต่อต้านต่าง ๆ เชื่อว่า คำว่า "child prostitution" (การค้าประเวณีเด็ก) และ "child prostitute" (โสเภณีเด็ก) มีปัญหาเพราะว่า โดยทั่วไปเด็กไม่สามารถตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับการค้าประเวณี และดังนั้น จึงใช้คำว่า "prostituted children" (เด็กที่ถูกค้าประเวณี) และ "การฉวยประโยชน์การค้าทางเพศจากเด็ก"[10] ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ใช้คำว่า "child sex worker" (เด็กทำงานเซ็กซ์) เพื่อแสดงว่า เด็กทุกคนไม่ใช่เป็นแค่เหยื่อที่ไม่ได้ทำอะไร[10] เหตุและประเภทเด็กมักจะถูกบังคับโดยโครงสร้างทางสังคมและโดยบุคคล ให้อยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ใหญ่อาจฉวยประโยชน์จากความความอ่อนแอ แล้วทารุณเด็กหรือฉวยประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ทั้งโครงสร้างสังคมและบุคคลรวมกันบังคับให้เด็กเข้าไปสู่การค้าทางเพศ เช่น การค้าประเวณีเด็กบ่อยครั้งจะติดตามการถูกทารุณทางเพศ และบ่อยครั้งเกิดขึ้นที่บ้าน[11] นักวิชาการจำนวนมากเชื่อว่า เด็กโสเภณีโดยมากมาจากเอเชียอาคเนย์ และลูกค้าโดยมากเป็นนักท่องเที่ยวเซ็กซ์ชาวตะวันตก แต่ว่าก็มีนักสังคมวิทยาคนหนึ่งที่อ้างว่า แม้ว่าคนตะวันตกจะมีส่วนให้อุตสาหกรรมนี้โตขึ้น แต่ว่า ลูกค้าโดยมากของเด็กเป็นชาวเอเชียในพื้นที่[12] การค้าประเวณีมักจะเกิดขึ้นในที่ต่าง ๆ รวมทั้งซ่องโสเภณี บาร์ ไนต์คลับ บ้าน ตามถนนหรือเขตชุมชนต่าง ๆ ตามงานศึกษาหนึ่ง เด็กโสเภณีประมาณ 10% มีแมงดา และมากกว่า 45% เริ่มทำงานเพราะเพื่อน[13] นักวิชาการในสำนักงานแรงงานเด็กสากลมอรีน แจ็ฟ และซ็อนเนีย โรเซ็น กล่าวว่า กรณีต่าง ๆ กันมาก
การค้ามนุษย์สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) นิยามคำว่า "การค้ามนุษย์" (human trafficking) ว่า "การสรรหาชักชวน การขนส่ง การย้าย การให้ที่ซ่อนเร้น และการรับบุคคล โดยใช้วิธีต่าง ๆ เช่นการข่มขู่หรือใช้กำลังหรือวิธีบีบบังคับอื่น ๆ การลักพาตัว การฉ้อฉลหรือการหลอกลวง เพื่อจะฉวยเอาประโยชน์"[14] UNODC ประเมินจำนวนเหยื่อทั่วโลกที่ 2.5 ล้านคน[14] UNICEF รายงานว่าตั้งแต่ปี 1982 มีเด็กถูกค้าประมาณ 30 ล้านคน[15] การค้ามนุษย์เพื่อเป็นทาสทางเพศอยู่ในอัตรา 79% ของกรณีค้ามนุษย์ทั้งหมด โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นหญิง และประมาณ 20% ของเหยื่อเป็นเด็ก ผู้กระทำผิดบ่อยครั้งก็เป็นหญิงด้วย[16] ในปี ค.ศ. 2007 สหประชาชาติจัดตั้งโปรแกรมริ่เริ่มระดับโลกเพื่อสู้การค้ามนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN.GIFT) โดยร่วมมือกับ UNICEF องค์การเพื่อความมั่นคงและการร่วมมือในยุโรป (OSCE) และกองทุนสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาสตรี (UNIFEM) โดยได้เงินทุนมาจากรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ UN.GIFT มีจุดมุ่งหมายต่อต้านการค้ามนุษย์โดยร่วมมือกับผู้มีส่วนในองค์กรรวมทั้งรัฐบาล ธุรกิจ และผู้ทำการระดับโลกอื่น ๆ งานริเริ่มแรกก็คือเผยแพร่เนื้อความว่า การค้ามนุษย์เป็นเรื่องผิดจริยธรรมและเป็นปัญหาที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ต้องอาศัยการร่วมมือระดับโลกเพื่อที่จะยุติ UN.GIFT พยายามลดความต้องการในการฉวยประโยชน์ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยให้กับผู้ที่เสี่ยงต่อความเป็นเหยื่อ[17] ในบางกรณี เหยื่อค้ามนุษย์เพื่อเซ็กซ์ถูกลักพาตัวโดยคนแปลกหน้า หรือถูกบังคับหรือถูกหลอกให้เข้าร่วมโดยเรื่องโกหกและคำสัญญาหลอกลวงอื่น ๆ[18] ในบางกรณี ครอบครัวอนุญาตหรือบังคับให้เด็กเข้าสู่ระบบเพราะเหตุความยากจนรุนแรง[19] ถ้าถูกนำออกจากประเทศ ผู้ค้าเด็กจะฉวยประโยชน์จากความที่เด็กมักจะไม่เข้าใจภาษาในประเทศใหม่และไม่รู้สิทธิทางกฎหมายของตน[18] งานวิจัยแสดงว่า ผู้ค้าเด็กมักจะเลือกเด็กหญิงอายุ 12 ขวบหรือน้อยกว่านั้น เพราะว่าง่ายกว่าที่จะให้ทำตามต้องการ และเพราะเชื่อว่าเป็นหญิงพรหมจารี ซึ่งเป็นที่ต้องการจากลูกค้า แล้วจะแต่งให้เด็กดูแก่กว่าจริง และปลอมเอกสารเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ทางกฎหมาย[18] เหยื่อมักจะมีพื้นเพคล้ายกัน บ่อยครั้งมาจากชุมชนที่มีอาชญากรรมสูงและไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา แต่ว่า เหยื่อไม่ใช่จำกัดแต่เพียงเท่านี้ เพราะว่ามีทั้งชายและหญิงที่มาจากพื้นเพต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าเด็กเพื่อเซ็กซ์[18] นักจิตบำบัดหญิงผู้หนึ่งระบุขั้นตอน 5 ขั้นตอนในกระบวนการค้ามนุษย์เพื่อเซ็กซ์ คือขั้นมีจุดอ่อน ขั้นถูกสรรหาชักชวน ขั้นถูกขนส่ง ขั้นถูกฉวยประโยชน์ และขั้นปล่อยตัว[20] แต่ว่า เหยื่อมักจะไม่ค่อยถึงขั้นสุดท้าย ฆาตกรรมและความตายจากอุบัติเหตุมีอัตราสูง เช่นเดียวกับการฆ่าตัวตาย และมีเหยื่อน้อยมากที่รับการช่วยชีวิตหรือหนีไปได้[21] การค้ามนุษย์เพื่อเซ็กซ์เป็นธุรกิจที่กำไรดีเพราะว่ามีความเสี่ยงต่ำและมีความต้องการทางตลาดสูง กำไรที่สูงเป็นสิ่งล่อใจหลักในการแพร่ขยายของการค้ามนุษย์ ในปัจจุบัน การค้ามนุษย์เพื่อเซ็กซ์มักจะทำออนไลน์โดยอำพรางรูปโฉมทำเป็นร้านค้า ทำให้ยากขึ้นที่จะบังคับใช้กฎหมาย ตัวอย่างรวมทั้งบริการผู้ติดตาม (เอ๊สขอร์ต) ออนไลน์ ซ่องโสเภณีในชุมชน และซ่องที่ทำเป็นโรงนวดหรือที่อาบน้ำ ซึ่งหลาย ๆ ที่มีเด็กเป็นทาสให้บริการ[22] เซ็กซ์เพื่อชีวิตรูปแบบหลักอีกอย่างหนึ่งของการค้าประเวณีเด็กก็คือ เซ็กซ์ทรงชีพ (survival sex) โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้กำหนดไว้ว่า
งานที่ว่าจ้างโดย UNICEF และองค์การนอกภาครัฐ Save the Children ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการค้าประเวณีเด็กในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาหลังสงคราม นักสังคมวิทยาที่เป็นหัวหน้างานรายงานว่า ความยากจนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการค้าประเวณี โดยกล่าวว่า
ส่วนนักวิชาการแจ็ฟและโรเซ็นไม่เห็นด้วยและอ้างว่า ความยากจนเพียงอย่างเดียวบ่อยครั้งไม่ได้บังคับให้เด็กค้าประเวณี เพราะว่าการกระทำเช่นนี้ไม่แพร่หลายในกลุ่มสังคมที่ยากจนหลายกลุ่ม แต่ว่าต้องมีอิทธิพลภายนอกอื่น ๆ เช่นสถานการณ์ทางครอบครัวและความรุนแรงในบ้าน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหา[24] การค้าประเวณีเด็กเพื่อเซ็กซ์ทรงชีพเกิดขึ้นทั้งในประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว ในเอเชีย เด็กหญิงต่ำกว่าอายุบางครั้งทำงานในซ่องโสเภณีเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ในประเทศศรีลังกา ผู้ปกครองมักจะให้ลูกชายมากกว่าลูกสาวเป็นโสเภณี เพราะว่าสังคมให้ความสำคัญกับพรหมจรรย์ของหญิงมากกว่าชาย[25] นักวิชาการแจ็ฟและโรเซ็นเขียนไว้ว่า การค้าประเวณีเด็กในอเมริกาเหนือมักจะเป็นผลของ "ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ความรุนแรงและทารุณกรรมในบ้าน ครอบครัวที่แตกสาแหรกขาด และการติดยาเสพติด"[26] ในประเทศแคนาดา มีหนุ่มเยาวชนคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่าผิดในข้อหาเกี่ยวกับการค้าประเวณีเด็กหญิงอายุ 15 ปีออนไลน์ในปี ค.ศ. 2012 คือ เขาได้ชักชวนเธอให้ขายประเวณีเพื่อจะได้เงิน เก็บเงินที่เธอได้ทั้งหมด แล้วข่มขู่เธอด้วยความรุนแรงถ้าไม่ทำต่อไป[27] ผลเสียหายการปฏิบัติต่อเด็กเด็กมักจะถูกบังคับให้ทำงานในสถานการณ์ที่สกปรกและอันตราย[28] เสี่ยงต่อความรุนแรงและบางครั้งถูกตีและถูกข่มขืน นักวิจัยกล่าวว่า พวกเขา "ต้องทนทุกข์กับทารุณกรรม การไร้ความสุข และสุขภาพที่แย่"[29] ยกตัวอย่างเช่น นักเขียนผู้หนึ่งรายงานว่า เหยื่อการค้าเซ็กซ์หญิงจากประเทศเนปาล "ถูกบังคับให้ยินยอมโดยกระบวนการข่มขืนและตบตี แล้วให้ค้าประเวณีอาจจะถึง 35 ครั้งต่อคืนเพื่อเงิน 1-2 ดอลลาร์สหรัฐต่อลูกค้าชาย"[30] อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องเด็กชายชาวเนปาลจำนวนมาก ที่ถูกชักชวนให้ไปประเทศอินเดียแล้วถูกขายให้ซ่องโสเภณีในเมืองมุมไบ ไฮเดอราบาด นิวเดลี และลัคเนา คือเหยื่อคนหนึ่งจากประเทศเนปาลไปเมื่ออายุ 14 ปีแล้วถูกขายเป็นทาส ถูกขัง ถูกตี ถูกอดอาหาร ถูกบังคับให้แต่งตัวเป็นเด็กหญิง และถูกบังคับให้ขริบหนังหุ้มปลายองคชาต เขารายงานว่าถูกขังในซ่องกับเด็กชายอื่นอีก 40-50 คน ที่จำนวนมากถูกตอน ก่อนที่เขาจะหนีและกลับไปเนปาลหลังจากผ่านไป 7 ปี[31] นักอาชญาวิทยาผู้หนึ่งกล่าวว่า การค้าประเวณีเด็กและสื่อลามกอนาจารเด็กสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด คือ เด็กโสเภณี 1 ใน 3 เกี่ยวข้องกับสื่อลามก จะเป็นภาพยนตร์หรือสิ่งตีพิมพ์ก็ดี วัยรุ่นที่หนีออกจากบ้าน มักจะถูกใช้ในภาพยนตร์และภาพลามก[32] นอกจากปัญหาสื่อลามกแล้ว
ผลทางกายและใจตามองค์กรต่อต้านนอกภาครัฐองค์กรหนึ่ง การค้าประเวณีทำให้บาดเจ็บเช่น การฉีกขาดของช่องคลอด ผลทางกายต่าง ๆ จากการถูกทรมานและการถูกทำให้เจ็บ การติดเชื้อ หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการ[34] เนื่องจากลูกค้าน้อยนักที่จะระวังเรื่องเอชไอวี[34] เด็กที่ถูกค้าประเวณีจึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะติดโรค และในบางพื้นที่เด็กโดยมากจะติดโรค กามโรคอื่น ๆ ก็เป็นความเสี่ยงด้วย เช่น ซิฟิลิสและเริม นอกจากนั้นแล้วเด็กยังมีวัณโรคในระดับสูงอีกด้วย[29] โรคเหล่านี้บ่อยครั้งทำให้ถึงตาย[2] อดีตเด็กโสเภณีมักจะมีอาการเจ็บป่วยทางจิต รวมทั้งภาวะซึมเศร้า และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD)[29] มีผลลบทางใจอื่น ๆ รวมทั้งความโกรธ การนอนไม่หลับ ความสับสนเรื่องเพศและบุคลิกภาพ ความไม่เชื่อใจผู้ใหญ่ การสูญเสียความมั่นใจ มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับฟัน ตับอักเสบ บี และซี และปัญหารุนแรงเกี่ยวกับตับและไต มีปัญหาการแพทย์อื่น ๆ รวมทั้งปัญหาในระบบสืบพันธุ์และความบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายทางเพศ (sexual assault) มีปัญหาทางกายและทางประสาทจากการถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง และมีปัญหาสุขภาพทั่วไปอื่น ๆ รวมทั้งระบบลมหายใจและการเจ็บข้อ[34][35] การห้าม![]() การค้าประเวณีเด็กผิดกฎหมายสากล อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของเด็กแห่งสหประชาชาติ มาตราที่ 34 กล่าวว่า "รัฐผู้ร่วมอนุสัญญาจะดำเนินการป้องกันเด็กจากการฉวยประโยชน์และทารุณกรรมทางเพศ รวมทั้งการค้าประเวณีและการมีส่วนร่วมในสื่อลามกอนาจาร"[37] เป็นอนุสัญญาที่เริ่มทำเมื่อปี 1989 และมีประเทศ 193 ประเทศได้เข้าร่วมอนุสัญญาแล้ว ในปี 1990 สหประชาชาติได้จัดตั้งตำแหน่ง "ผู้รายงานการประชุมพิเศษว่าด้วยการขายเด็ก การค้าประเวณีเด็ก และสื่อลามกอนาจารเด็ก" (Special Rapporteur on the sale of children, child prostitution and child pornography)[38] ที่จะสืบสวนการฉวยประโยชน์จากเด็กทั่วโลกแล้วให้คำแนะนำกับรัฐบาลต่าง ๆ เพื่อยุติปัญหา แม้ว่าการค้าประเวณีของผู้ใหญ่จะถูกผิดกฎหมายต่างกันในประเทศต่าง ๆ แต่ว่าการค้าประเวณีเด็กเป็นเรื่องผิดกฎหมายเกือบในทุกประเทศ และทุกประเทศล้วนมีข้อจำกัดบางอย่างในเรื่องนั้น[4] มีข้อโต้เถียงกันว่าอย่างไรเป็นเด็กที่ถูกค้าประเวณี กฎหมายสากลนิยามเด็กว่าเป็นบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี[39] แต่มีประเทศบางประเทศที่มีอายุที่ยอมให้ร่วมประเวณีได้และอายุความเป็นผู้ใหญ่ที่ต่ำกว่านั้น โดยปกติอยู่ในระหว่าง 13-17 ปี[4] ดังนั้น บางครั้งเจ้าหน้าที่จึงลังเลที่จะตรวจสอบกรณีต่าง ๆ เนื่องจากความแตกต่างของอายุที่ยอมรับ[4] แต่ว่าก็มีกฎหมายของบางประเทศที่แยกแยะระหว่างวัยรุ่นและเด็กที่ถูกค้าประเวณี ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลญี่ปุ่นจัดเด็กโสเภณีระหว่าง 13-18 ปีว่าเป็นวัยรุ่น[40] โทษของผู้ทำผิดต่าง ๆ กันในแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา โทษของการมีส่วนร่วมกับการค้าประเวณีเด็กรวมทั้งการจำคุก 5-20 ปี[41] ส่วนในประเทศไทย นอกจากจะมีกำหนดโทษในกรณีต่าง ๆ ของการค้าประเวณีแล้ว ยังมีกำหนดลงโทษพิเศษเกี่ยวกับเด็กในกรณีที่เป็นผู้กระทำชำเราเด็กในสถานการค้าประเวณี[42]: มาตรา 8 เป็นผู้จัดหา ล่อไป หรือชักพาไป[42]: มาตรา 9 รับตัวหรือสนับสนุนให้รับเด็กที่ถูกจัดหาล่อไปหรือชักพาไป[42]: มาตรา 9 บิดามารดาผู้ปกครองมีส่วนร่วม[42]: มาตรา 10 หรือเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ดูแล ผู้จัดการ หรือผู้ควบคุม[42]: มาตรา 11 สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐได้ตั้งแผนกใหม่ (Innocence Lost) ที่ทำงานปลดปล่อยเด็กจากการค้าประเวณี โดยตอบสนองต่อปฏิกิริยาของประชาชนทั่วประเทศเกี่ยวกับปฏิบัติการของสำนักงานที่ปล่อยเด็ก 23 คนจากการค้าประเวณีโดยบังคับในปี 2011[43] ความแพร่หลายการค้าประเวณีเด็กมีอยู่ในทุกประเทศ แต่มีปัญหามากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้และเอเชีย[24] แต่ว่า จำนวนเด็กโสเภณีก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในส่วนอื่น ๆ ของโลกรวมทั้ง อเมริกาเหนือ แอฟริกา และยุโรป[24] สถิติที่แน่นอนหาได้ยาก[44] แต่ว่าโดยประเมิน มีเด็กประมาณ 10 ล้านคนที่ค้าประเวณีทั่วโลก[2]
โดยปี 1999 มีรายงานว่าการค้าประเวณีเด็กในประเทศอาร์เจนตินากำลังเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ และอายุเฉลี่ยก็กำลังลดลง องค์การนอกภาครัฐองค์กรหนึ่งกล่าวว่า อาร์เจนตินาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเซ็กซ์เด็กยอดนิยมแห่งหนึ่งสำหรับคนใคร่เด็กจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา[69] แต่ว่า การค้าประเวณีเด็กอายุ 18 ปีและน้อยกว่าจัดเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายของประเทศ[70] แต่ลงโทษบุคคลที่ "โปรโหมตหรืออำนวย" การค้าประเวณีเท่านั้น ไม่ลงโทษลูกค้าที่ฉวยประโยชน์จากเด็ก[71] ความเห็นจากสาธารณชนนักมานุษยวิทยาคนหนึ่งกล่าวว่า สังคมโดยมากมีความเห็นเชิงลบเกี่ยวกับการค้าประเวณีเด็ก ส่วนหนึ่งเพราะมองว่าเด็กถูกทอดทิ้งหรือขายโดยผู้ปกครองและครอบครัว[72] องค์การแรงงานระหว่างประเทศรวมการค้าประเวณีเด็กในรายการ "รูปแบบแรงงานเด็กที่แย่ที่สุด"[73] งานประชุมโลกใหญ่ต้านการฉวยประโยชน์การค้าทางเพศจากเด็กในปี 1996 เรียกการค้าประเวณีเด็กว่า "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" "การทรมาน" และ "การเป็นทาส"[74] ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางสหรัฐผู้เชี่ยวชาญเรื่องการฉวยประโยชน์จากเด็กและการค้ามนุษย์ พร้อมกับผู้ร่วมเขียนที่เป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมายกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสะเทือนอารมณ์ที่มีมุมมองหลายด้านเกี่ยวกับการป้องกัน คือ
นักข่าวสืบสวนคนหนึ่งกล่าวว่า การเหมารวมเรื่องการค้าประเวณีเด็กดำเนินมาเรื่อย ๆ จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1990 จนกระทั่งเมื่อเกิดองค์กรต่อต้านขึ้นองค์กรแรก และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มทำการเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด[76] นักอาชญาวิทยาคนหนึ่งกล่าวว่า ความเป็นห่วงเรื่องโรคใคร่เด็กและการทารุณเด็กทางเพศ และทัศนคติเกี่ยวกับเยาวชนที่เปลี่ยนไป ทำให้ประชาชนเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างการค้าประเวณีของผู้ใหญ่กับของเด็ก คือ แม้ว่าประชาชนจะไม่ชอบใจการค้าประเวณีของผู้ใหญ่ แต่เห็นการค้าของเด็กว่ารับไม่ได้[77] นอกจากนั้นแล้ว เด็กยังมองว่าเป็นผู้ "ไร้เดียงสา" หรือ "บริสุทธิ์" และการถูกค้าประเวณีจึงเทียมเท่ากับถูกจับเป็นทาส[77] โดยทัศนคติที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ประชาชนจึงเริ่มเห็นเด็กในการค้าเพศว่าเป็นเหยื่อแทนที่จะเป็นผู้กระทำผิด เป็นผู้ควรที่จะฟื้นฟูสภาพแทนที่จะลงโทษ[78] จากผู้ต่อต้านแม้ว่าการรณรงค์ต่อต้านการค้าประเวณีเด็กจะมีตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1800 แล้ว[79] แต่การประท้วงโดยคนจำนวนมากเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในคริสต์ทศวรรษ 1990 ในสหรัฐอเมริกา นำโดยองค์กร ECPAT (ย่อมาจากคำว่า หยุดการค้าประเวณีเด็ก สื่อลามกเด็ก และการค้าเด็กเพื่อเซ็กซ์) นักประวัติศาสตร์กล่าวถึงกลุ่มนี้ว่า "เป็นกลุ่มรณรงค์ต่อต้านการค้าประเวณีเด็กที่สำคัญที่สุด" โดยเบื้องต้นกลุ่มให้ความสนใจในปัญหาเด็กถูกฉวยประโยชน์ในเอเชียอาคเนย์โดยนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก[80] ต่อมา กลุ่มสิทธิสตรีและกลุ่มต่อต้านเซ็กซ์ทัวร์ได้เข้าร่วมประท้วงการดำเนินการเซ็กซ์ทัวร์ในกรุงเทพมหานคร เพราะการจุดชนวนจากรูปเยาวชนไทยที่ค้าประเวณีและออกข่าวในนิตยสาร ไทม์ และจากการตีพิมพ์พจนานุกรมในสหราชอาณาจักรที่กล่าวถึงกรุงเทพว่า "เป็นแหล่งที่มีโสเภณีมาก"[81] นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมกล่าวว่า แม้ว่า การประท้วงจะไม่ช่วยลดเซ็กซ์ทัวร์หรืออัตราการค้าประเวณีเด็กที่กำลังเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มเหล่านี้ "กระตุ้นความเห็นมวลชนทั้งระดับชาติและระดับสากล" และประสบผลสำเร็จในการชักให้สื่อมวลชนใส่ใจในเรื่องนี้อย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรก[81] ECPAT ต่อมาจึงขยายการประท้วงเรื่องการค้าประเวณีเด็กไปทั่วโลก[80] ในสหรัฐอเมริกาปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 มีการตั้งบ้านหลีกภัยและโปรแกรมฟื้นฟูสภาพสำหรับเด็กที่ถูกค้าประเวณี และตำรวจก็เริ่มสืบสวนปัญหานี้อย่างเอาจริงเอาจัง[76] ศูนย์ทรัพยากรการค้ามนุษย์แห่งชาติก็ได้รับการก่อตั้งขึ้น สามารถโทรไปหาได้ฟรี 24 ชม. ตลอด 7 วัน[82] โดยออกแบบให้ผู้โทรสามารถรายงานข้อมูลหรือรับข้อมูลเกี่ยวกับการค้ามนุษย์[83] การต่อต้านการค้าประเวณีเด็กและความเป็นทาสทางเพศขยายไปยังยุโรปและประเทศอื่น ๆ โดยองค์การต่าง ๆ ผลักดันให้ยอมรับเด็กว่าเป็นเหยื่อแทนที่จะเป็นผู้กระทำผิด[77] ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นที่ยังเด่นในปีต่อ ๆ มา ที่องค์กรต่าง ๆ ช่วยรณรงค์ในทศวรรษ 2000 และ 2010[77] ประวัติ![]() การค้าประเวณีเด็กมีอยู่ตั้งแต่ในสมัยโบราณ เด็กชายก่อนวัยหนุ่มถูกขายประเวณีโดยทั่วไปในซ่องทั้งในกรีซและโรมโบราณ[84] ตามนักเขียนท่านหนึ่ง "เด็กหญิงชาวอียิปต์ที่สวยที่สุดและตระกูลสูงที่สุดจะถูกบังคับให้ค้าประเวณี... และจะเป็นเด็กหญิงโสเภณีจนเริ่มมีประจำเดือนเป็นครั้งแรก" ส่วนการขายเด็กเพื่อค้าประเวณีของพ่อแม่เด็กจีนและอินเดียเป็นเรื่องปกติ[85] และพ่อแม่ในอินเดียบางครั้งจะอุทิศลูกสาวให้กับวัดฮินดูเป็น "เทวทาสี" ซึ่งในอดีตเป็นตำแหน่งมีศักดิ์ศรีในสังคม คือเทวทาสีดั้งเดิมมีหน้าที่รักษาและทำความสะอาดวัดของเทวดาฮินดูที่ตนอุทิศให้ และเรียนรู้การดนตรีและการเต้นรำ แต่เมื่อระบบวิวัฒนาการต่อ ๆ มา บทบาทเปลี่ยนกลายเป็นโสเภณีวัด และเด็กหญิงที่ถูกอุทิศให้ก่อนเป็นสาว ก็จะถูกบังคับให้ค้าประเวณีกับชายชั้นสูง[86][87] แม้ว่าข้อปฏิบัติเช่นนี้จะผิดกฎหมายแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ในปัจจุบัน[87] ในยุโรป การค้าประเวณีเด็กรุ่งเรืองจนกระทั่งถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1800[85] เช่นมีเด็กในอัตรา 50% ของคนค้าประเวณีในนครปารีส[88] ต่อมาเรื่องอื้อฉาวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในประเทศอังกฤษมีผลให้รัฐบาลปรับอายุที่ยอมให้ร่วมประเวณีได้ขึ้น[89] คือในเดือนกรกฎาคม 1885 นายวิลเลียม โทมัส สเตด ผู้เป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Pall Mall Gazette พิมพ์บทความชุด "ส่วยจากเด็กหญิงของเมืองบาบิโลนปัจจุบัน (The Maiden Tribute of Modern Babylon)" มี 4 บทความที่บรรยายกลุ่มอาชญากรรมขายเซ็กซ์เด็กใต้ดินที่นายสเตดรายงานว่า ขายเด็กให้ผู้ใหญ่ รายงานของนายสเตดพุ่งความสนใจไปที่เด็กหญิงอายุ 13 ปีนามว่า เอลิซา อารม์สตองก์ ผู้ถูกขายในราคา 5 ปอนด์สเตอร์ลิง (เท่ากับ 500 ปอนด์ในปี 2012 หรือประมาณ 24,490 บาท) แล้วนำไปหาหมอตำแยเพื่อตรวจดูว่ายังเป็นหญิงพรหมจรรย์ และภายในอาทิตย์ที่พิมพ์ชุดบทความ รัฐบาลอังกฤษได้ปรับอายุที่ยอมให้ร่วมประเวณีได้จาก 13 เป็น 16 ปี[90] ซึ่งเป็นยุคนี้นั่นแหละที่คำว่า "white slavery" (ทาสขาว) กลายเป็นศัพท์ที่ใช้ทั่วยุโรปและสหรัฐหมายถึงเด็กที่ถูกค้าประเวณี[85][91] ดูเพิ่มเชิงอรรถและอ้างอิง
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ การค้าประเวณีเด็ก |
Portal di Ensiklopedia Dunia