กรมขุนสุนทรภูเบศร์
กรมขุนสุนทรภูเบศร์ (จีนเรือง สุนทรกุล ณ ชลบุรี)[1] หรือ กรมขุนสุนทรภูเบศร (เรือง)[2] มีพระนามเดิมว่า เรือง[3] หรือ จีนเรือง[4] เป็นเศรษฐีชาวเมืองบางปลาสร้อย (ชลบุรี) ที่เคยถวายการอุปการะสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อครั้งยกทัพไปตีเมืองจันทบุรี ภายหลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นเจ้านาย ด้วยเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จักรีจากการเป็นภราดาร่วมสาบานกับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมขุนสุนทรภูเบศร์เป็นต้นราชสกุล "สุนทรกุล ณ ชลบุรี" ถือเป็นหนึ่งในราชสกุลของราชวงศ์จักรี[5] และทายาทบางสายใช้สกุล "สุนทรมนูกิจ"[3] พระประวัติกรมขุนสุนทรภูเบศร์ แต่เดิมเป็นเศรษฐีเมืองบางปลาสร้อย มีพระนามเดิมว่า "เรือง" หรือ "จีนเรือง" ที่ทรงอุปการะสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อครั้งเสด็จยกทัพไปตีเมืองจันทบูร มีความสนิทชิดเชื้อกับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทมาก ถึงขั้นร่วมสาบานเป็นภราดรภาพคือเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน[6] ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษก จึงโปรดเกล้าฯ สถาปนา "จีนเรือง" ขึ้นเป็นเจ้านาย นามว่า "หม่อมเรือง" ต่อมาได้สถาปนาเป็นเจ้าราชนิกูล[7]: 16 ด้วยความชอบด้านสงครามว่า "เจ้าบำเรอภูธร"[7]: 16 (บ้างว่า หม่อมเจ้าบำเรอภูธร)[3], "กรมหมื่นสุนทรภูเบศร์"[3] และจนท้ายที่สุดได้สถาปนาที่พระยศที่ "กรมขุนสุนทรภูเบศร์"[4][7]: 16 ตามลำดับ ดังพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท[3] ภายหลังพระราชทานให้ทรงสร้างวังอยู่ปากคลองวัดชนะสงคราม (หรือปากคลองโรงไหม) ตรงข้ามวังหน้า กรมขุนสุนทรภูเบศร์ สิ้นพระชนม์เมื่อใดไม่ปรากฏทราบแต่เพียงว่าน่าจะสิ้นพระชนม์หลังปี พ.ศ. 2348 เพราะมีหลักฐานว่าในปีนั้นพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่[8] หลังการสิ้นพระชนม์ วังปากคลองโรงไหมได้ตกเป็นของเจ้าฟ้าอิศราพงศ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ผู้สืบเชื้อสาย![]() กรมขุนสุนทรภูเบศร์ ทรงมีโอรส-ธิดาอยู่จำนวนหนึ่ง ที่บางท่านมีฐานันดรศักดิ์เป็น "หม่อมเจ้า" ซึ่งอาจได้รับพระราชทานเป็นรายบุคคลตามพระราชประสงค์เท่านั้น[9] โดยพระโอรสและธิดาเท่าที่ปรากฏพระนามและนาม ได้แก่
กรมขุนสุนทรภูเบศร์ ทรงเป็นต้นสกุล "สุนทรกุล ณ ชลบุรี" เป็นนามสกุลพระราชทานลำดับที่ 4603 พระราชทานให้แก่หม่อมหลวงจาบ ตามราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 35 หน้า 1719 พระราชทานเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2461 สำหรับบรรดาผู้สืบสกุลโดยตรงลงมาจากกรมขุนสุนทรภูเบศร์ นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2485 หลวงสุนทรมนูกิจ (ทิพย์ สุนทรกุล ณ ชลบุรี) ได้ขอพระบรมราชานุญาตใช้ราชทินนามเป็นนามสกุลใหม่ว่า "สุนทรมนูกิจ"[9] พระอิสริยยศ
อ้างอิงและเชิงอรรถ
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia